ยามเช้าที่หมอกบางลอยคลอเหนือผืนดิน ทุ่งกุรุเกษตรยังเงียบงันอย่างน่าประหลาด ทั้งที่เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ที่นี่จะเต็มไปด้วยเสียงกลองศึก เสียงล้อรถม้ากระทืบพื้น และเสียงโห่ร้องของเหล่านักรบผู้พร้อมสละชีวิต
รถศึกหลายร้อยคันเรียงรายราวกำแพงเหล็ก แสงแรกของอรุณสะท้อนคมอาวุธเป็นประกายดั่งเปลวเพลิง แต่ท่ามกลางความพร้อมรบ อรชุนนั่งนิ่งอยู่บนรถม้าของตน มือยังไม่ยกคันธนู ดวงตาจับจ้องไปยังแถวทัพตรงข้าม และสิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่แค่ “ศัตรู” หากคือครู ผู้เฒ่า และญาติสายเลือดเดียวกัน
หัวใจของนักรบผู้เก่งกล้าสั่นไหว อรชุนเอ่ยกับพระกฤษณะผู้เป็นสารถีและมิตรแท้ ว่าเขาไม่อาจ ปลิดชีพผู้ที่เขารักและเคารพได้ สงครามครั้งนี้แม้ชนะก็เหมือนแพ้ เพราะชัยชนะต้องแลกด้วยเลือดของครอบครัว
พระกฤษณะจึงเอื้อนถ้อยคำที่กลายเป็นแก่นของ ภควัทคีตา — บทสนทนาที่ว่าด้วยหน้าที่ ชะตากรรม และธรรมะ
“เจ้ามีสิทธิ์เพียงในการกระทำหน้าที่ของตน
แต่ไม่มีสิทธิ์เหนือผลของการกระทำนั้น
อย่าให้ผลลัพธ์เป็นเหตุจูงใจในการกระทำ
และอย่ายึดติดกับการไม่กระทำ”
พระกฤษณะเตือนอรชุนว่าชีวิตมนุษย์เป็นเพียงฉากหนึ่งในเส้นทางของวิญญาณอันยาวไกล การทำหน้าที่ด้วยจิตที่ตั้งมั่นในธรรมะย่อมสำคัญกว่าความรู้สึกยึดติดส่วนตัว และการไม่ลงมือเพราะกลัวทุกข์ ก็เป็นการทอดทิ้งหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ และเป็นการปล่อยให้อธรรมที่สั่งสมมานานมีชัยเหนือธรรมะ
คำสอนนั้นไม่เพียงดึงอรชุนให้ยืนขึ้นจับศรอีกครั้ง แต่ยังกลายเป็นมรดกทางจิตวิญญาณที่ผู้คนทั่วโลกนำไปตีความต่อเนื่องนับพันปี มหาภารตะนั้นเป็นมหากาพย์ที่ไม่เพียงเล่าเรื่องความขัดแย้ง แต่ยังสะท้อนความเป็นจริงของชีวิต สงคราม 18 วัน ณ ทุ่งกุรุเกษตร เป็นการเปรียบเปรยถึงสงครามในจิตใจของมนุษย์ อรชุนคือตัวแทนของมนุษย์ทุกคนที่ต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่ยากลำบาก และต้องเลือกกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทำลายในสิ่งที่ผิด เพื่อให้ธรรมะในใจมีชัยเหนืออธรรม
พระกฤษณะสอนว่า “หน้าที่ (ธรรมะ) ต้องมาก่อนความรักและความผูกพันส่วนตัว” การต่อสู้ของอรชุนจึงไม่ใช่เพื่อทำร้ายญาติพี่น้อง แต่เป็นการทำลายอวิชชาและความเห็นแก่ตัวที่ครอบงำจิตใจของเขาและสังคมโดยรวม การทำตามหน้าที่ที่ถูกต้องอย่างเต็มที่และไม่ยึดติดกับผลลัพธ์ คือสารสำคัญที่ทำให้มนุษย์สามารถก้าวข้ามความลังเลและดำเนินชีวิตได้อย่างมีสติและเปี่ยมด้วยปัญญา
สงคราม 18 วัน ณ ทุ่งกุรุเกษตร ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวในตำนาน แต่เป็นกระจกสะท้อนความซับซ้อนของมนุษย์ ที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อ ความกลัว ความรัก และความดื้อรั้นเกินกว่าจะตัดสินด้วยนิยามสั้นๆ อย่าง “ดี” หรือ “ชั่ว” ตัวละครสำคัญในมหากาพย์นี้จึงเป็นมากกว่าแค่ชื่อที่ถูกจารึกไว้
แต่ก่อนที่คุณจะเข้าสู่โลกแห่งปรัชญาอันลึกซึ้งในโชว์สุดพิเศษ Mahabharata: 18 Days, Dusk of an Era! การแสดงในรูปแบบ Dance Musical ที่นำเรื่องราวของสงคราม 18 วันมาตีความใหม่ เราขอชวนทุกท่านไปทำความรู้จักกับ 7 นักรบและผู้นำคนสำคัญจากทั้งฝั่งปาณฑพและเการพ ที่ไม่ว่าคุณจะรักหรือเกลียดก็ตาม ต่างก็ได้มอบนิยามและความหมายอันลึกซึ้งผ่านทุกการตัดสินใจและการกระทำของพวกเขาในมหาศึกครั้งนี้
การแสดงเรื่อง Mahabharata: 18 Days, Dusk of an Era! จากคณะ Prabhat Arts International ประเทศอินเดีย เปิดการแสดงเพียงรอบเดียวเท่านั้น คือในวันเสาร์ที่ 6 กันยายน 2568 เวลา 18.00 น. ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ถือเป็นโอกาสอันหาได้ยากยิ่ง ที่มหาสงครามจากมหาภรตะจะมาให้ทุกท่านได้รับชมแบบการแสดงสด พร้อมแสงสีเสียงเต็มรูปแบบ
จองบัตรได้แล้ววันนี้ที่: https://bit.ly/3ZUJari
1. อรชุน (Arjuna)
-ยอดขุนพลผู้ต่อสู้ทั้งในสนามรบ และในสมรภูมิแห่งจิตใจตนเอง-
อรชุนคือยอดขุนพลแห่งปาณฑพ บุตรของพระนางกุนตีกับพระอินทร์ – เทพเจ้าแห่งพายุฝนผู้มีอาวุธเป็ยสายฟ้าฟาด เขาคือนักธนูอันดับหนึ่งของยุค ผู้ได้รับพลังจากเทพเจ้าและยังมีอาวุธคู่กายคือ คันธนูคาณธีวะ (Gandiva) ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยกขึ้นได้ และการดีดสายธนูจะทำให้เกิดเสียงดังดุจฟ้าผ่า ด้วยความสามารถอันเก่งกาจนี้ อรชุนจึงได้รับสมญานามว่า “ธนัญชัย” (ผู้พิชิตทรัพย์สมบัติ) สมญานี้มาจากตอนที่อรชุนออกทัพปราบหัวเมืองต่างๆ เพื่อรวบรวมทรัพย์สินมาทำพิธีราชสูยะ (พิธีขึ้นดำรงตำแหน่งกษัตริย์ของอินเดีย)ให้ยุธิษฐิระผู้เป็นพี่ชาย ในการศึกนั้นเขาเอาชนะได้ทุกเมืองและนำทรัพย์สินกลับมาอย่างมากมาย จนกลายเป็นฉายา “ผู้สามารถชนะการศึกและนำความมั่งคั่งมาสู่แผ่นดิน”
แต่สิ่งที่ทำให้อรชุนมีความโดดเด่นไม่ใช่เพียงฝีมือ หากคือความลังเลทางจิตวิญญาณ เขาคือชายผู้ยืนอยู่หน้าสงครามแล้ว “ไม่กล้าลั่นศร“ เพราะหัวใจไม่อาจสังหารเครือญาติได้ง่ายๆ อรชุนจึงเป็นตัวแทนของมนุษย์ที่ต้องเรียนรู้ว่า “ธรรมะ” ไม่ได้หมายถึงความเมตตาเสมอไป แต่คือการทำหน้าที่ของตนแม้หัวใจจะปวดร้าว และนี่คือจุดเริ่มต้นของคำสอนอมตะในคัมภีร์ ภควัทคีตา ซึ่งเป็นรากฐานทางปรัชญาที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมอินเดียมานับพันปี
แก่นของอรชุน: ความขัดแย้งในใจของคนดี เมื่อโลกบังคับให้ต้องเลือก
____________________
เรื่องราวของอรชุนและการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้จะถูกถ่ายทอดอย่างทรงพลังในเวที Mahabharata: 18 Days, Dusk of an Era! โดย Prabhat Arts International การแสดงที่นำมหากาพย์อันยิ่งใหญ่มาโลดแล่นด้วยศิลปะการแสดง ดนตรี และท่วงท่าที่จะทำให้ผู้ชมได้สัมผัสทั้งความยิ่งใหญ่ของสงครามและความเปราะบางของหัวใจนักรบอย่างใกล้ชิด
จองบัตรได้แล้วที่: https://bit.ly/3ZUJari
วันเสาร์ที่ 6 กันยายน 2568 / 18.00 น.
ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
2. พระกฤษณะ (Krishna)
-ผู้อยู่เหนือการรบ แต่อยู่ในใจของคนรบทุกคน-
พระกฤษณะคือร่างอวตารของพระวิษณุ ซึ่งเป็นหนึ่งในเทพเจ้าสูงสุดของศาสนาฮินดู ทำให้พระองค์เป็นตัวละครที่แข็งแกร่งและเปี่ยมด้วยสติปัญญาที่สุดในมหากาพย์มหาภารตะ ในสงครามทุ่งกุรุเกษตร พระองค์ทรงเลือกอยู่ฝ่ายปาณฑพ โดยมีบทบาทสำคัญเป็น สารถีให้กับอรชุน ซึ่งแม้จะให้คำมั่นว่าจะไม่จับอาวุธและไม่สังหารใครด้วยตนเอง แต่ไม่มีใครที่กำหนดรูปแบบและทิศทางของสงครามนี้ได้เท่ากับพระองค์อีกแล้ว ในฐานะผู้วิเศษและนักปราชญ์ พระกฤษณะคือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของ “ธรรมะ” และเป็นผู้เทศนาคำสอนอมตะในคัมภีร์ภควัทคีตา ซึ่งถือเป็นแก่นของปรัชญาในมหากาพย์นี้ เพื่อชี้ทางสว่างและปลุกกำลังใจของอรชุนที่กำลังหวั่นไหว
บุคลิกของพระกฤษณะมีเสน่ห์ลึกลับ บางครั้งเขาดูเหมือนเจ้าเล่ห์ ใช้กลอุบายเพื่อหลอกลวงศัตรู (เช่น การแนะนำให้ภีมะใช้เล่ห์กลในการต่อสู้กับทุรโยธน์) แต่ทั้งหมดนี้ล้วนทำเพื่อรักษาธรรมะอันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า พระองค์คือ “ผู้รู้” ที่มองเห็นถึงกรรมและเหตุการณ์ทั้งหมดที่ควรจะเกิดขึ้น และเลือกที่จะชี้ทางให้คนอื่นๆ เดินไปในเส้นทางที่ถูกต้อง แม้บางครั้งจะต้องใช้วิธีที่เจ็บปวดก็ตาม
แก่นของกฤษณะ: ผู้นำทางสู่ธรรมะ ผู้เข้าใจแก่นแห่งกรรม และชี้หนทางสู่ชัยชนะที่แท้จริง
____________________
และนี่เองคือหัวใจที่จะถูกถ่ายทอดอย่างลึกซึ้งใน Mahabharata: 18 Days, Dusk of an Era! โดย Prabhat Arts International ที่จะพาผู้ชมเข้าสู่บทสนทนาระหว่างพระกฤษณะและอรชุนกลางสมรภูมิ—ช่วงเวลาที่ไม่เพียงกำหนดชะตาของสงคราม แต่ยังได้หล่อหลอมแก่นปรัชญาที่จะอยู่เหนือกาลเวลา
จองบัตรได้แล้วที่: https://bit.ly/3ZUJari
วันเสาร์ที่ 6 กันยายน 2568 / 18.00 น.
ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
3. ยุธิษฐิระ (Yudhishthira)
-เจ้าชายผู้ซื่อตรงที่สุด แต่กลับหลงทางเพราะความสัตย์-
ยุธิษฐิระเป็นพี่ชายคนโตแห่งพี่น้องปาณฑพ บุตรของพระนางกุนตีกับพระธรรมเทพ ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความถูกต้องและศีลธรรม เขาจึงได้รับการถ่ายทอดคุณธรรมนี้มาโดยตรงและได้รับสมญานามว่า “เจ้าแห่งธรรมะ” (Lord of Dharma) ยุธิษฐิระมีความซื่อสัตย์และมีศีลธรรมอันแน่วแน่ ยึดมั่นในความถูกต้องเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งทำให้เขาเป็นที่รักของทุกคนในฐานะผู้ปกครองที่ยุติธรรม
แต่ความเคร่งครัดในศีลธรรมนี้เองที่กลายเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนในเวลาเดียวกัน เพราะความยึดติดในหน้าที่ของกษัตริย์ที่ต้องรับคำท้าในเกมเดิมพันบ้านเมือง ทำให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับกลอันฉ้อฉลของศกุนิและทุรโยธน์ และด้วยความซื่อตรงของยุธิษฐิระ ที่ทำให้เขาต้องสูญเสียทั้งอาณาจักร อิสรภาพของตนเองและน้องชาย รวมไปถึงนางเทราปทีซึ่งเป็นมเหสีร่วมของพี่น้องปาณฑพอีกด้วย การสูญเสียทุกอย่างในการเดิมพันครั้งนี้ เป็นชนวนสำคัญที่นำไปสู่สงคราม 18 วัน ณ ทุ่งกุรุเกษตรในท้ายสุด ตัวละครของยุธิษฐิระในมหาภารตะคือผืนผ้าอันประณีตที่ถักทอจากคุณธรรมและข้อบกพร่อง สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของธรรมชาติมนุษย์และความท้าทายของการใช้ชีวิตอย่างมีคุณธรรม
แก่นของยุธิษฐิระ: การยึดมั่นในคุณธรรมคือการต่อสู้ที่ไม่สิ้นสุด
____________________
ใน Mahabharata: 18 Days, Dusk of an Era! เรื่องราวของยุธิษฐิระจะพาผู้ชมเข้าไปสำรวจว่า “ความถูกต้อง” ที่แท้จริงนั้น อาจไม่ได้อยู่เพียงในตัวบทกฎเกณฑ์ แต่ยังอยู่ในการตัดสินใจท่ามกลางแรงกดดันมหาศาล — การเลือกของเขาคือหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่ฉากการปะทะที่สะเทือนฟ้าดินในฉากการต่อสู้ที่สำคัญแห่งสงคราม ณ ทุ่งกุรุเกษตร
จองบัตรได้แล้วที่: https://bit.ly/3ZUJari
วันเสาร์ที่ 6 กันยายน 2568 / 18.00 น.
ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
4. ภีมะ (Bhima)
-โทสะเพื่อความยุติธรรม-
ภีมะคือพี่ชายคนที่สองแห่งปาณฑพ บุตรของพระนางกุนตีกับพระวายุ เทพเจ้าแห่งลม ผู้ประทานพละกำลังอันมหาศาลให้แก่เขา ด้วยพลังเหนือมนุษย์นี้ ภีมะได้รับการยกย่องให้เป็นนักรบผู้แข็งแกร่งที่สุดในยุค อาวุธคู่กายของเขาคือ กระบอง (gada) อันเป็นสัญลักษณ์ของพละกำลัง ความมั่นคง และการผดุงความยุติธรรม ซึ่งภีมะสามารถใช้ได้อย่างชำนาญและทรงพลัง
ทว่า สิ่งที่ทำให้ภีมะมีมิติยิ่งกว่าภาพของนักรบทั่วไป คือหัวใจที่ผูกพันลึกซึ้งกับครอบครัว และความโกรธที่ไม่ได้เกิดจากอัตตาหรือความทะนงตน แต่เกิดจากการที่คนอันเป็นที่รักถูกหยามเกียรติ เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นเมื่อยุธิษฐิระพี่ชายของเขา สูญเสียนางเทราปทีให้แก่ฝ่ายทุรโยธน์ในเกมเดิมพันอันไม่ชอบธรรม และนางถูกลากมาประจานต่อหน้าที่ประชุมใหญ่ ในขณะนั้น ภีมะคือตัวแทนแห่งเสียงของความยุติธรรม เขาประกาศคำสาบานว่าจะสังหารทุรโยธน์ด้วยมือของตนเอง
ในสงครามทุ่งกุรุเกษตร ภีมะคือผู้ทำให้คำสาบานนั้นเป็นจริง เขาเอาชนะและสังหารทุรโยธน์ด้วยการต่อสู้กระบองอันดุเดือด ปิดฉากความขัดแย้งที่กินเวลายาวนาน แม้ภีมะจะเป็นนักรบที่มีความก้าวร้าวและดุดัน แต่เขาก็คือภาพแทนของพลังอันบริสุทธิ์ ที่พร้อมใช้ความรุนแรงเมื่อจำเป็น เพื่อปกป้องศักดิ์ศรี ความถูกต้อง และผู้ที่เขารักอย่างสุดหัวใจ
แก่นของภีมะ: เมื่อความอยุติธรรมล้ำเส้น การใช้กำลังไม่ใช่ความโหดร้าย แต่คือหน้าที่
____________________
และในโชว์ Mahabharata: 18 Days, Dusk of an Era! พลังและโทสะอันศักดิ์สิทธิ์ของภีมะจะถูกถ่ายทอดอย่างเข้มข้น บทบาทของเขาคือแรงขับเคลื่อนแห่งการเติมเต็มคำสาบาน ที่ทำให้สงครามนี้ไม่ใช่เพียงการแย่งชิงบัลลังก์ แต่เป็นการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีของธรรมะ
จองบัตรได้แล้วที่: https://bit.ly/3ZUJari
วันเสาร์ที่ 6 กันยายน 2568 / 18.00 น.
ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
5. กรรณะ (Karna)
-วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในเงา ผู้ซื่อสัตย์แม้รู้ว่ากำลังเดินสู่ความตาย-
กรรณะคือยอดนักรบแห่งฝ่ายเการพ แท้จริงแล้วเขาเป็นบุตรของพระนางกุนตีกับพระอาทิตย์ ซึ่งชาติกำเนิดนี้ถูกเก็บเป็นความลับเนื่องพระนางกุนตีได้ลองใช้พรที่ได้รับจากฤๅษีทุรวาสเพื่อเรียกเทพเจ้า ทำให้พระอาทิตย์ปรากฏกายและประทานบุตรให้ ด้วยความกลัวที่จะถูกครหา พระนางจึงจำต้องนำทารกน้อยใส่ตะกร้าลอยน้ำไป และกรรณะก็ได้ถูกเก็บไปเลี้ยงดูโดยสารถี ทำให้เขาเติบโตขึ้นในฐานะชาวบ้านและถูกสังคมปฏิเสธมาโดยตลอด
ในฐานะนักรบ กรรณะมีความสามารถทัดเทียมกับอรชุน ซึ่งเป็นนักธนูที่เก่งที่สุดในโลก อาวุธคู่กายของเขาคือ คันธนูวิชัย(Vijaya) ซึ่งเป็นคันธนูของพระศิวะ มีพลังพิเศษคือผู้คันธนูนี้จะไม่มีวันพ่ายแพ้ในสงคราม นอกจากนี้ กรรณะยังได้รับ ต่างหูและเกราะจากพระอาทิตย์มาตั้งแต่เกิดทำให้อาวุธใดๆ ไม่อาจทำร้ายเขาได้
อย่างไรก็ดี กรรณะมีปณิธานแน่วแน่ว่าจะไม่ปฏิเสธคำขอของใครก็ตามที่มาขอพรหรือขอสิ่งของจากเขา พระอินทร์ผู้เป็นบิดาของอรชุนรู้ถึงข้อนี้ดี จึงแปลงกายเป็นพราหมณ์เพื่อมาขอต่างหูและเกราะไป พระอินทร์รู้สึกประทับใจในความซื่อสัตย์และการเป็นผู้ให้ของกรรณะจึงได้ประทานหอกศักติ ซึ่งเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพของพระองค์ให้เป็นการตอบแทน โดยมีเงื่อนไขว่าจะใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
สิ่งที่ทำให้กรรณะมีมิติมากกว่านักรบทั่วไปคือความขัดแย้งภายในจิตใจที่ซับซ้อน เขารู้สึกถึงความถูกต้องชอบธรรมตามหลักธรรม แต่ก็ต้องทำตามความจงรักภักดีที่ได้ให้ไว้ต่อทุรโยธน์ แม้จะรู้ดีว่าการกระทำของทุรโยธน์นั้นคลุมเครือทางศีลธรรมเพียงใดก็ตาม กรรณะตกอยู่ระหว่างความรู้สึกอันชอบธรรมที่ติดตัวมาแต่กำเนิดกับความจงรักภักดีต่อทุรโยธน์ผู้มอบสถานะและการยอมรับให้แก่เขาซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจอันน่าเศร้าที่กำหนดชะตากรรมของเขาในภายหลัง
แก่นของกรรณะ: ความภักดีที่ยิ่งใหญ่กว่าโชคชะตา วีรบุรุษผู้ที่ต้องแบกรับความขัดแย้งภายในไปจนลมหายใจสุดท้าย
____________________
เรื่องราวของกรรณะใน Mahabharata: 18 Days, Dusk of an Era! จะเผยให้เห็นโศกนาฏกรรมของนักรบผู้ไม่เคยเป็นศัตรูแท้จริงของใคร แต่ต้องยืนอยู่คนละฟากของสนามรบ ด้วยแรงศรัทธาและคำมั่นที่เขามอบให้ทุรโยธน์ — การเผชิญหน้าระหว่างเขากับอรชุนจะถูกถ่ายทอดอย่างเข้มข้นจนคุณไม่อาจละสายตา
จองบัตรได้แล้วที่: https://bit.ly/3ZUJari
วันเสาร์ที่ 6 กันยายน 2568 / 18.00 น.
ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
6. ภีษมะ (Bhishma)
-นักรบผู้ไม่อาจตายได้ และไม่อาจหลบเลี่ยงความเศร้าได้เช่นกัน-
ผู้อาวุโสแห่งราชวงศ์กุรุบุตรของท้าวศานตนูกับพระแม่คงคา (เทพีแห่งแม่น้ำคงคา) ด้วยความรักในบิดา เขาให้สัตย์ปฏิญาณอันยิ่งใหญ่ ว่าจะสละสิทธิ์ในการสืบราชสมบัติและครองพรหมจรรย์ตลอดชีวิต ทำให้เขากลายเป็นผู้ค้ำจุนราชบัลลังก์ของหัสตินาปุระไม่ว่าใครจะขึ้นปกครองก็ตาม
ภีษมะมีพรวิเศษสามารถกำหนดวันตายของตัวเองได้ ทำให้เขาเป็นนักรบที่ไม่มีใครสามารถสังหาร เว้นแต่เขาจะยินยอละสังขารด้วยตนเอง แม้จะเป็นปู่ของทั้งสองฝ่าย แต่ในสงครามเขาจำต้องอยู่ฝ่ายเการพเพื่อรักษาสัจจะที่ให้ไว้ว่าจะค้ำจุนบัลลังก์ ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตของเขา
ภีษมะรบอย่างกล้าหาญและสังหารนักรบของฝ่ายปาณฑพไปมากมาย การกระทำของเขาแสดงให้เห็นถึงความซื่อสัตย์ที่เหนือกว่าความรู้สึกส่วนตัว อย่างไรก็ตามความเคารพในธรรมะก็ยังคงอยู่ เพราะก่อนสงครามจะเริ่มขึ้น เขาอนุญาตให้ ยุธิษฐิระ – พี่ใหญ่ของฝ่ายปาณฑพ เข้ามาขอพรและขอขมาเพื่อทำการสู้กับเขาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเกียรติยศที่เขามีต่อนักรบฝั่งตรงข้าม
ภีษมะไม่ได้เป็นแค่นักรบผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นตัวแทนของสติปัญญาของผู้สูงวัย หลังจากถูกอรชุนยิงศรใส่จนล้มลง เขายังคงมีชีวิตอยู่บนเตียงลูกศรเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อรอวันตายที่เหมาะสม ในช่วงเวลานี้เองที่เขาได้ถ่ายทอดสติปัญญาและคำสอนมากมายให้แก่ยุธิษฐิระ ซึ่งครอบคลุมหลักธรรมสำคัญของศาสนาฮินดู และกลายเป็นส่วนหนึ่งของมหากาพย์ที่ทรงคุณค่า
แก่นของภีษมะ: คำสัตย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าชีวิต การยึดถือในคำมั่นแม้จะต้องยอมทำผิดต่อสิ่งที่ถูกต้อง
____________________
บทบาทของภีษมะคือรากฐานสำคัญของเรื่องการแสดง Mahabharata: 18 Days, Dusk of an Era! ความเป็น “นักรบอมตะ” จะถูกถ่ายทอดอย่างยิ่งใหญ่ในฉากที่เขาเผชิญหน้ากับหลานแท้ ๆ ของตนบนสนามรบกุรุเกษตร และการร่วงลงสู่เตียงลูกศรจะไม่ใช่เพียงฉากโศกนาฏกรรม แต่เป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นยุคสมัยและการมาถึงยุคใหม่หลังจบสงคราม
จองบัตรได้แล้วที่: https://bit.ly/3ZUJari
วันเสาร์ที่ 6 กันยายน 2568 / 18.00 น.
ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
7. ทุรโยธน์ (Duryodhana)
-เจ้าชายผู้เชื่อว่าบัลลังก์คือชะตาที่ไม่มีใครพรากได้-
ทุรโยธน์คือผู้นำฝ่ายเการพและเป็นตัวร้ายหลักของมหากาพย์มหาภารตะ เขาเป็นหนึ่งในบุตรชาย 100 คนของท้าวธฤตราษฎร์กับพระนางคานธารี ทุรโยธน์เป็นชายผู้มีความทะเยอทะยานแรงกล้า และไม่ยอมให้ใครมาเป็นใหญ่เหนือตน
ความสามารถและอาวุธที่โดดเด่นของทุรโยธน์คือการต่อสู้ด้วยกระบอง ซึ่งเขาได้รับการฝึกฝนมาอย่างเชี่ยวชาญ ทำให้มีพละกำลังและความสามารถทัดเทียมกับภีมะ เขาจึงเป็นนักรบที่แข็งแกร่งและน่าเกรงขามอย่างยิ่งในสนามรบ
แต่จุดแข็งที่แท้จริงของทุรโยธน์คืออัตตาที่ยิ่งใหญ่และความเชื่อมั่นในสิทธิของตน สิ่งเหล่านี้ขับเคลื่อนให้เขากล้าทำทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจของตนไว้ ตั้งแต่การวางแผนเผาพี่น้องปาณฑพทั้งเป็น ไปจนถึงการใช้เล่ห์กลเอาชนะในเกมเดิมพันบ้านเมืองกับยุธิษฐิระ ความอิจฉาในตัวลูกพี่ลูกน้องปาณฑพคือจุดเริ่มต้นของความรุนแรงที่นำไปสู่สงครามครั้งใหญ่ 18 วัน ณ ทุ่งกุรุเกษตร
แม้ทุรโยธน์จะถูกจดจำในฐานะ “วายร้าย” แห่งมหาภารตะ แต่เขาก็มีคุณสมบัติที่น่านับถือ เช่น ความกล้าหาญ, ความเชื่อมั่นต่อผู้ที่เขายกย่องอย่างกรรณะ, และความเด็ดเดี่ยวในเป้าหมาย ความมั่นใจและอำนาจการพูดของเขามากพอที่จะทำให้เหล่ามหาบุรุษอย่างภีษมะและโทรณาจารย์ต้องออกศึกเคียงข้าง แม้จะรู้ว่าสงครามครั้งนี้เอนเอียงไปทางความไม่เป็นธรรม
แก่นของทุรโยธน์: ความมั่นใจคือเกราะ อหังการคือคมดาบ — ทั้งสองทำให้เขาไม่มีวันถอยแม้ต้องแลกมาด้วยชีวิต
____________________
ใน Mahabharata: 18 Days, Dusk of an Era! ทุรโยธน์จะถูกถ่ายทอดในฐานะผู้นำที่พร้อมเผชิญหน้ากับชะตากรรมอย่างไม่สะทกสะท้าน ฉากการยืนกลางสนามรบพร้อมกล่าววาจาท้าทายปาณฑพทั้งห้า จะเป็นประกายไฟเปิดม่านสู่มหาสงครามที่ไม่อาจหวนกลับ — จุดที่อหังการส่วนบุคคลกลายเป็นพลังขับเคลื่อนชะตาของทั้งสองตระกูล
จองบัตรได้แล้วที่: https://bit.ly/3ZUJari
วันเสาร์ที่ 6 กันยายน 2568 / 18.00 น.
ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย