“ความฝันในหอแดง” หรือ A Dream of Red Mansions หนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนกลับมาอีกครั้งในรูปแบบใหม่ ไม่ใช่การแสดงงิ้วที่คุ้นเคย แต่เป็นการนำศิลปะบัลเลต์ชั้นสูงมาร้อยเรียงผ่านแก่นแท้ของวัฒนธรรมจีนจนได้มาเป็นโชว์ครั้งสำคัญเพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน
หงโหลวเมิ่ง (红楼梦) หรือ ความฝันในหอแดงนับเป็นในเพชรน้ำงามแห่งวงการวรรณกรรม แต่ก็เปียมไปด้วยปริศนาที่ชวนให้ตีความ นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าวรรณกรรมเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นโดยเฉาเสี่ยว์ฉิน – นักประพันธ์และกวีชาวจีนแห่งยุคราชวงศ์ชิง ในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 (ประมาณ ค.ศ. 1744 – 1755) เขาใช้เวลาแต่งหนังสือเล่มนี้เกือบสิบปีระหว่างรัชสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง ซึ่งแต่เดิมทีจะมีชื่อเดิมว่า “จารึกแห่งศิลา” แต่มาเปลี่ยนชื่อในภายหลัง
ด้วยการเขียนที่เน้นให้เป็นนิยายสัจจะนิยม (Realism) สะท้อนสังคมความเป็นจริง เปิดโปงชีวิตฟุ้งเฟ้อของชนชั้นสูงและระบบที่ฟอนเฟะของสังคมศักดินา จนนำไปสู่การล่มสลายของปลายยุคราชวงศ์ชิง ผู้เขียนจึงต้องใช้วิธีซ่อนความหมายที่แท้จริงเอาไว้ระหว่างบรรทัด ด้วยเทคนิคการพ้องเสียงและการละเล่นคำต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่สังคมจีนเรียกในยุคสมัยนั้นว่า “คุกหนังสือ” หรือการถูกจองจำจากการเขียนในสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมาย เนื้อหาในหนังสือของเขาเล่าถึงความรักของหนุ่มสาวที่เป็นตัวเอกในสมัยราชวงศ์ชิง เริ่มจากมิตรภาพที่ก่อขึ้นอย่างบริสุทธิ์ แต่กลับถูกกีดกันโดยครอบครัวและสถานะทางสังคมจนนำพาไปสู่ความเข้าใจผิด การหลอกลวง และความรักที่ไม่อาจสมหวัง ที่เข้าถึงหัวใจของผู้อ่านได้จากรุ่นสู่รุ่น
มองเผินๆ เรื่องนี้อาจดูเหมือนนิยายรักธรรมดาชิ้นหนึ่ง แต่ความฝันในหอแดงกลับถูกพูดถึงมากในด้านความแตกต่างและโดดเด่นมากกว่าวรรณกรรมยุคสมัยเดียวกัน เพราะไม่ได้เลือกเล่าจุดเด่นอยู่ที่ฝ่ายชายตามสมัยนิยม กลับให้ความสำคัญกับผู้หญิงเพื่อนำเสนอว่าพวกเธอมีทัศนคติและการดำเนินชีวิตในสังคมนั้นเป็นอย่างไร ในนิยายของเฉาเสี่ยว์ฉิน ตัวละครหญิงของเขาสามารถแสดงความเป็นตัวเอง พวกเธอมีบทบาทสำคัญในเนื้อเรื่องไม่แพ้บุรุษ จุดเด่นนี้เองทำให้ความฝันในหอแดงต่างจากสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนอีกสามเรื่องคือสามก๊ก ไซอิ๋ว และซ้องกั๋ง ซึ่งไม่ได้ให้ความสำคัญกับสตรี ทำให้ผู้อ่านแทบไม่ทราบเลยว่าสตรีในเรื่องราวเหล่านี้มีความรู้สึกนึกคิดเป็นอย่างไร
มีคำกล่าวว่าเราสามารถเรียนรู้ชีวิตและแนวคิดของผู้เขียนได้จากหนังสือที่เขาแต่ง ความฝันในหอแดงเป็นวรรณกรรมที่เปรียบเสมือนกระจกสะท้อนตัวตนของเฉาเสี่ยว์ฉินซึ่งมีพื้นเพชีวิตคล้ายกับตัวละครเอกในนิยายของเขา ตระกูลเฉามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชสำนัก เป็นตระกูลขุนนางมั่งคั่งที่รับผิดชอบดูแลโรงสิ่งทอหลวง เฉาเสี่ยว์ฉินเติบโตมาในบรรยากาศหรูหรา มีพร้อมทุกอย่าง แต่กลับเจอวิบากกรรมทางการเมืองทำให้กลายเป็นคุณชายตกอับ เขาแต่งความฝันในหอแดงในช่วงเวลานี้ ทำให้วรรณกรรมของเขามีทั้งบริบททางสังคมและการตัดพ้อชะตาชีวิต รวมไปถึงแนวคิดทางปรัชญาและการพิจารณาชีวิตที่ผกผันไม่แน่นอน
แม้แต่ชื่อบทประพันธ์ ‘หงโหลวเมิ่ง’ (红楼梦) หรือ ความฝันในหอแดง ก็ยังถูกตีความว่าอาจจะสื่อสารข้อความระหว่างบรรทัดบางอย่าง คำว่า หง (สีแดง) มีความหมายมากในสังคมจีน ในทางพุทธศาสนาสีแดงเป็นสีของฝุ่นซึ่งติดตามตัวเราไปทุกที่ เมื่อฝุ่นเกาะติดเสื้อผ้าก็ยากที่จะสลัดออกไป เปรียมเสมือนสิ่งรบกวนทางโลกที่มีผลต่อมนุษย์ เป็นดั่งภาพลวงตาของชีวิตที่ปุถุชนทั่วไปไม่สามารถสลัดออกพ้น
สีแดง คือสัญลักษณ์สำคัญตลอดทั้งเรื่อง สีแห่งความรุ่งเรืองที่ซุกซ่อนความเปราะบาง สีแห่งการเฉลิมฉลองที่คลุมเครือด้วยความเศร้า และสีของเครื่องแต่งกายที่วรรณกรรมเล่าละเอียดอย่างน่าทึ่ง เฉาเสี่ยว์ฉิน ผู้เขียนซึ่งเติบโตในครอบครัวขุนนางที่ทำหน้าที่ดูแลโรงทอผ้า มีความเข้าใจลึกซึ้งเรื่องผ้า สี และลวดลาย ไม่เพียงแค่เสื้อผ้าของ เจี่ยเป่าอี้ว์ ตัวเอกของเรื่องที่ขับเน้นสีแดงตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แม้แต่ตัวละครหญิงสำคัญเช่น หลินไต้อี้ว์ และ เซวียเป่าไช ต่างก็ปรากฏตัวด้วยอาภรณ์สีแดงที่มีความหมายซ้อนเร้น
หากในสายตาผู้อ่าน สีแดงในวรรณกรรมคือน้ำหมึกทางสังคม แต่บนเวทีบัลเลต์ แดง กลายเป็นตัวละครในตัวเอง เป็นทั้งแสงสี ฉาก เครื่องแต่งกาย และท่วงท่าที่ขับเน้นโศกนาฏกรรมความรักสามเส้าและความพินาศของตระกูลไปพร้อมกัน ถ่ายทอดบทเรียนชีวิตที่ไร้กาลเวลา
คำว่า เมิ่ง (ความฝัน) คล้ายจะแฝงไว้ด้วยปรัชญาอีกเช่นกันเพราะความฝันคือมิติซ้อนทับกันระหว่างความจริงและความไม่จริง ‘ความจริง’ ในทัศนะของตะวันตกค่อนข้างตรงไปตรงมา มักผูกโยงกับสิ่งที่โต้เถียงไม่ได้อย่างพระอาทิตย์ขึ้นในทิศตะวันออกและตกในทิศตะวันตก แต่ ‘ความจริง’ ในทัศนะของจีนมีมิติที่น่าถกเถียงมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น นิทานปรัชญาเกี่ยวกับกบที่อาศัยอยู่ในบึงและคิดว่าโลกในบึงคือความจริงทั้งหมด แต่เมื่อกบได้พบกับเต่าซึ่งอาศัยอยู่ในทะเลกว้างใหญ่ก็ทำให้เจ้ากบเข้าใจว่าความจริงของมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ทัศนะของจีนเชื่อว่ามนุษย์เรามองโลกผ่านมุมมองของตัวเอง แต่ละคนมองเห็นความจริงจากคนละด้าน เป็นเหมือนกบที่อยู่ในบ่อน้ำของตัวเอง หรือที่เราคุ้นเคยในสำนวนไทยที่ใกล้เคียงคือ “กบในกะลา” ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะเข้าถึงความจริงที่แท้แค่หนึ่งเดียว
ถงรุ่ยรุ่ย ผู้กำกับการแสดงบัลเลต์ชุดนี้เผยว่า “A Dream of Red Mansions ไม่ใช่แค่การดัดแปลงเรื่องเล่าผ่านบัลเลต์ธรรมดา แต่คือการค้นหาความสอดคล้องระหว่าง ภาษาการเต้นรำ ศิลปะจีนดั้งเดิม และธรรมชาติทางวรรณกรรมของต้นฉบับ เพื่อสร้างภาษาการแสดงใหม่เป็นของตัวเอง แม้จะเป็นเพียงก้าวเล็กๆ แต่ก็มีความหมาย”
สิ่งที่น่าสนใจคือความพยายามของคณะผู้สร้าง ที่ไม่เพียงอ่านวรรณกรรมอย่างละเอียด แต่ยังศึกษา ความหมายของ “ความฝัน“ และความจริง-ความลวงที่แทรกซึมอยู่ในงานเขียน เช่นเดียวกับเรื่องเล่า ‘จวงโจวฝันผีเสื้อ’ ที่ตั้งคำถามว่าความจริงคืออะไร และเราคือใครในห้วงความฝันนั้น
ตัวละครเอกสามคนในนิยายความฝันในหอแดงคือจย๋าเป่าอี้ว์ (贾宝玉) หลินไต้อี้ว์ (林黛玉) และเซวียเป่าไช (薛宝钗) นำเสนอค่านิยมทางสังคมในแง่มุมที่ต่างกัน จย๋าเป่าอี้ว์ ซึ่งเป็นพระเอกต้องเตรียมสอบเพื่อเป็นขุนนาง ฐานะทางบ้านที่ร่ำรวยมากทำให้เขาสามารถทุ่มเทเวลากับการอ่านหนังสือ สื่อให้เห็นว่าแม้การสอบราชการจะมีฉากหน้าเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปที่เป็นเพศชาย แต่ผู้ที่สอบติดได้ตำแหน่งสำคัญก็มักเป็นชนชั้นสูงเพราะสามารถลงทุนกับการศึกษาของบุตรชายได้มากกว่า
หลินไต้อี้ว์ – นางเอกของเรื่องคือตัวแทนความงามในอุดมคติของยุค นั่นคือผู้หญิงสวยต้องบอบบางอ้อนแอ้น ยิ่งเป็นโรคด้วยก็จะยิ่งน่ารักน่าทะนุถนอม หลินไต้อี้ว์แม้จะมีความรู้มาก เก่งกาจด้านกวี แต่มีอารมณ์อ่อนไหว เธอร้องไห้หลายครั้งแถมยังป่วยจนซีดเซียว ผู้อ่านรู้สึกเห็นใจในความรักระหว่างจย๋าเป่าอี้ว์และหลินไต้อี้ว์ที่จบลงอย่างไม่สมหวัง ต่อมาหลินไต้อี้ว์ตรอมใจ อาการป่วยทรุดหนักจนเสียชีวิตในวันที่คนรักเข้าพิธีแต่งงาน
ส่วนเซวียเป่าไชซึ่งได้แต่งงานกับพระเอก (โดยที่จย๋าเป่าอี้ว์เข้าใจผิดคิดว่าตัวเองจะได้เข้าพิธีกับคนรัก) ก็เป็นตัวละครที่นำเสนอสตรีในกรอบ เธอปฏิบัติตามกฎ รู้จักวางตัว มีความรู้เฉลียวฉลาด ตรงตามแบบกุลสตรีในค่านิยมทุกประการ ถึงอย่างนั้นชีวิตของเธอกลับไม่มีความสุข
ความฝันในหอแดงยังแผงไว้ด้วยการออกแบบพื้นที่ที่น่าสนใจ เพื่อนำเสนอให้ตัวละครทั้งสามเป็นภาพแทนคำสอนสำคัญและรากฐานแห่งอารยธรรมจีน
ห้องของเซวียเป่าไช ล้อมรอบด้วยต้นไผ่ที่ตรงขึ้นฟ้า ไม่มีดอกไม้สีสันฉูดฉาดหรือกลิ่นหอมเพื่อดึงดูดผู้คน แก่นของไม้ไผ่กลวงเปล่าซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดของพุทธศาสนาเรื่อง ‘สุญญตา’ คือการที่สรรพสิ่งทั้งปวงปราศจากตัวตนที่แท้จริง ไม้ไผ่ที่เติบโต ตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า เป็นสัญลักษณ์ของ ความซื่อตรง ยึดมั่นในหลักการ และการประพฤติตนอย่างถูกต้องเหมาะสม ตรงกับเซวียเป่าไชที่มัก “ทำในสิ่งที่ควรทำ” และ “พูดในสิ่งที่ควรพูด” ทำให้เป็นที่ยอมรับและชื่นชมจากผู้ใหญ่ในตระกูล
ห้องของหลินไต้อี้ว์ เต็มไปด้วยมอส สมุนไพรหายาก และพืชที่ส่งกลิ่นหอม ตามวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม กลิ่นหอมเปรียบเหมือนคุณธรรมของบุคคล กลิ่นหอมที่อบอวลอยู่ตลอดเวลาสามารถเปรียบได้กับ ‘ความดีงามและความบริสุทธิ์ของตัวละคร’ หรือก็คือความเป็นอุดมคตินิยมของหลินไต้อี้ว์
ห้องของจย๋าเป่าอี้ว์ สะท้อนปรัชญา เต๋า (Daoism) เขามีหนังสือ ของนักปราชญ์เต๋าที่มีชื่อเสียง แถมยังประดับตกแต่งด้วยกระจกเป็นจำนวนมาก กระจกนั้นเป็นสัญลักษณ์ของความจริงภายในและการมองเห็นเชิงจิตวิญญาณ แสดงผ่านแนวคิด “หยิน-หยาง” ที่กล่าวว่าจุดจบและจุดเริ่มต้นไม่สามารถแยกจากกันได้ เมื่อบางสิ่งสิ้นสุดลง มักจะเปิดทางให้สิ่งใหม่เกิดขึ้นเสมอ
นอกจากนี้หลักหยินหยางเน้นถึงความสมดุลและธรรมชาติของการหมุ่นเวียน เหมือนกับลูกตุ้มที่แกว่งไปถึงจุดหนึ่งก่อนที่จะแกว่งกลับไปอีกทิศทางหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นช่วงเวลาของความรุ่งเรืองที่สุด (หยาง) มักนำไปสู่ความประมาทและความเสื่อมถอย จึงต้องรู้จักการถ่อมตน (หยิน) เพื่อให้เกิดความสมดุลในสรรพสิ่ง
ห้องของเจี่ยเป่าอวี้มี “ประตูกระจกวงกลม” ซึ่งเปรียบเสมือนทางผ่านไปสู่ โลกแห่งจิตวิญญาณหรือมิติลึกลับ ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเจตจำนงมนุษย์ หากแต่ต้องปล่อยใจให้ไหลไปตามวิถีแห่ง “เต๋า” หรือ “หนทางธรรมชาติ” ที่ไม่อาจฝืนได้
นี่สอดคล้องกับชะตากรรมของจย๋าเป่าอี้ว์ในช่วงท้ายเรื่อง เมื่อเขาตัดขาดจากทุกสิ่งทางโลก — ทรัพย์สมบัติ อำนาจ ความรัก — และเดินทางกลับสู่ “ความว่างเปล่าอันยิ่งใหญ่” (Great Void) ซึ่งเป็นสภาวะแห่งการหลุดพ้นตามแนวคิดแบบเต๋าและพุทธ
การออกแบบท่าเต้นในบัลเลต์ชุดนี้ รวมไปถึงการออกแบบบเวที เสื้อผ้า แสงและสี ล้วนกลั่นจากความเข้าใจอันลุ่มลึก เป็นเหมือนภาพจำลองทั้งความรัก โศกนาฏกรรม และเส้นทางชีวิตที่นำไปสู่การหลุดพ้น “เราติดตามความฝันของจย๋าเป่าอี้ว์ ติดตามหัวใจของเขา เข้าไปในความรู้สึกของเขา ลิ้มรสบางสิ่ง และแยกชั้นของ ‘ความฝัน’ ออกทีละชั้น ชุดการแสดงนี้จึงสร้างการเปลี่ยนผ่านของกาลเวลาและพื้นที่ขึ้นมา เพื่อสร้างความรู้สึกว่า สิ่งที่ผู้ชมเห็นนั้นบางครั้งก็เป็น ‘เหตุการณ์จริงในเรื่อง’ และบางครั้งก็เป็น ‘ความฝัน’ จินตนาการ หรือความรู้สึกในใจของตัวละคร” ถงรุ่ยรุ่ย ผู้กำกับการแสดง กล่าว
บัลเลต์ A Dream of Red Mansions โดยคณะ National Ballet of China คือการย้อนรอยความทรงจำของจย๋าเป่าอี้ว์ ที่สุดท้ายทิ้งไว้เพียงคำถามว่า สิ่งใดคือความจริง สิ่งใดคือความฝัน
“ฉันเชื่อว่าหลายคนในวงการออกแบบท่าเต้นต่างมองว่าการสร้าง ความฝันในหอแดง เป็นความฝันสูงสุด หรือไม่ก็เป็นความท้าทายสูงสุด เพราะ ความฝันในหอแดงคืองานอันทรงคุณค่าในประวัติศาสตร์วรรณกรรม และครองตำแหน่งสูงสุดในใจคนจีน การใช้ศิลปะบัลเลต์จากตะวันตกมาแสดงวรรณกรรมคลาสสิกจีน เป็นการปะทะสังสรรที่น่าดึงดูดใจ จนฉันเองก็สงสัยว่าจะออกมาเป็นเช่นไรในท้ายสุด”
“ครั้งนี้ผู้ชมจะไม่ได้เห็นท่าทางที่เป็นสูตรสำเร็จแบบบัลเลต์คลาสสิกมากนัก โครงสร้างทั้งหมดของการแสดงคือตัวตนของ ‘ความฝันในหอแดง’ เอง จุดมุ่งหมายของเราในการออกแบบท่าเต้น คือทำให้บัลเลต์ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของความสง่างามโดยคงไว้ซึ่งสุทรียะแบบจีน”
บนเวที การร่ายรำของนักบัลเลต์คือบทกวีในภาพเคลื่อนไหวที่ไม่ต้องการถ้อยคำ แต่เป็นการแปลภาษาวรรณกรรมที่ซับซ้อนเป็นรหัสร่างกายและท่วงท่าที่จับใจ แม้ไม่รู้ภาษาจีน ไม่รู้เรื่องราวแต่เดิม ผู้ชมก็ยังสัมผัสได้ถึงอารมณ์และบรรยากาศที่เปี่ยมด้วยชีวิต ภายใต้แสงสีแดงที่ฉาบทั้งเวที จึงเป็นเหมือนบทสรุปของเป่าอี้ว์ที่ว่า “จริงกลายเป็นเท็จ เท็จกลายเป็นจริง ไม่มีกลับเป็นมี ที่มีกลับว่างเปล่า“
อาจไม่มีความจริงข้อเดียวในความฝันนี้ แต่ทุกท่านอาจได้ออกจากโรงละครพร้อมสีแดงเฉดใหม่ในความทรงจำ บัลเลต์ความฝันในหอแดงฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทยจีน จะเปิดการแสดงที่ประเทศไทยเพียง 2 รอบเท่านั้น คือในวันเสาร์ที่ 20 กันยายน 2568 เวลา 14.30 น. และ 19.00 น. ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สามารถจองนี่ทั่งล่วงหน้าได้แล้ววันนี้ https://bit.ly/45S14P9
References:
Why is China’s greatest novel virtually unknown in the west? https://www.theguardian.com/…/dream-of-the-red-chamber…
Zhuangzi and his butterfly dream: the etymology of meng 夢 https://www.thechinastory.org/yearbooks/yearbook-2019-china-dreams/forum-illusions-and-transformations-the-many-meanings-of-meng-夢/zhuangzi-and-his-butterfly-dream-the-etymology-of-meng-夢/
Dream of Red Chamber – Prof. Clark Lectures Lecture 1-17 https://www.youtube.com/playlist…
Dream of the Red Chamber: Analysis of Setting https://www.ebsco.com/research-starters/history/dream-red-chamber-analysis-setting
Foreshadowing of Costume in Dream of the Red Chamber https://ccs.city/en/chinese-cultural-club/chinese-art/dream-of-the-red-chamber#:~:text=The%20red%20color%20symbolizes%20the,a%20product%20of%20feudal%20society.
ความฝันในหอแดง : พินิจเพชรเม็ดงามแห่งวรรณกรรมจีน https://mgronline.com/china/detail/9580000069629
ความฝันในหอแดง (Dream of The Red Chamber) http://thai.cri.cn/…/f27e9984-ae75-4efb-7b21…
ความฝันในหอแดง ภาพสะท้อนสถานภาพและบทบาทของสตรีจีนจีนภายใต้สังคมศักดินา https://so01.tci-thaijo.org/…/download/238474/167103