เมื่อกล่าวถึงมหากาพย์ยิ่งใหญ่และเป็นที่จดจำที่สุดในโลก “มหาภารตะ” ย่อมเป็นหนึ่งในนั้น — เรื่องเล่าที่ไม่ใช่เพียงตำนาน แต่คือภาพสะท้อนของมนุษย์ ความเชื่อ ศีลธรรม และโชคชะตาที่เกี่ยวพันกันอย่างแน่นหนา การปะทะกันของนักรบผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัยไม่ได้เป็นเพียงสงครามของอาวุธ แต่คือสงครามในใจ สงครามแห่งการตัดสินใจ สงครามระหว่างหน้าที่ ความรัก ความถูกต้อง และความสูญเสีย
พบกับหนึ่งในมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่และลึกซึ้งที่สุดของโลกซึ่งถูกหยิบมานำเสนอในมิติใหม่ไปกับ Mahabharata: 18 Days, Dusk of an Era! จากคณะ Prabhat Arts International ประเทศอินเดีย การแสดงที่จะพาทุกท่านย้อนกลับสู่แก่นแท้ของปรัชญาและอารยธรรมอินเดีย ผ่านเรื่องราวของสงคราม 18 วัน ณ ทุ่งกุรุเกษตร—จุดเปลี่ยนที่ไม่เพียงแต่พลิกชะตาของสองราชวงศ์ แต่ยังสั่นสะเทือนรากฐานความคิดและจิตวิญญาณของผู้คนในเอเชียใต้มานับพันปี
“มหาภารตะ” เป็นมหากาพย์ขนาดยาวที่เล่าเรื่องความขัดแย้งระหว่างราชวงศ์ปาณฑพและเการพ ซึ่งต่างสืบเชื้อสายเดียวกัน หากแต่มีความอิจฉาริษยา ความขัดแย้ง และการช่วงชิงอำนาจที่สะสมมาอย่างยาวนาน จนนำไปสู่มหาสงคราม ณ ทุ่งกุรุเกษตร สงครามในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงความขัดแย้งระหว่างเครือญาติ แต่คือการต่อสู้กันระหว่าง “ธรรมะ” และ “อธรรม”
ฝ่ายปาณฑพมี “พระกฤษณะ” ซึ่งเป็นอวตารของพระวิษณุ – เทพเจ้าแห่งการปกปักรักษาในศาสนาฮินดู เป็นผู้คอยชี้นำและทำหน้าที่เป็นสารถีให้กับอรชุน – นักรบหนุ่มผู้ลังเลและเต็มไปด้วยความสับสนในหน้าที่ของตน
แก่นสำคัญของมหาสงครามครั้งนี้ คือ คัมภีร์ภควัทคีตา (Bhagavad Gita) ซึ่งถูกกล่าวถึงในช่วงก่อนที่การรบจะเริ่ม ก่อนหน้านี้พระกฤษณะพยายามเจรจากับฝ่ายเการพเพื่อขอยุติความขัดแย้งอย่างสันติ ทว่าข้อเสนอของพระองค์ — ที่ขอเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ห้าแห่งเพื่อให้ฝ่ายปาณฑพได้อยู่อาศัยโดยไม่ต้องรบราฆ่าฟัน — กลับถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ฝ่ายเการพประกาศว่า “จะไม่ยกให้แม้แต่เศษดินขนาดรูเข็ม”
เมื่อรู้ว่าสงครามเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พระกฤษณะจึงกล่าวกับอรชุนว่า นี่ไม่ใช่เพียงความขัดแย้งระหว่างญาติ แต่คือผลของกรรมที่สั่งสมมาหลายชั่วอายุคน ฝ่ายเการพได้กระทำการกดขี่ ลอบฆ่า และกีดกันฝ่ายปาณฑพมาโดยตลอด และแม้พระกฤษณะจะเป็นอวตารของเทพเจ้า พระองค์ก็ไม่อาจขัดขวางผลกรรมที่มนุษย์เป็นผู้ก่อขึ้น
ในบทสนทนาระหว่างพระกฤษณะกับอรชุนนั้น พระกฤษณะได้แสดงปรัชญาอันลึกซึ้งเกี่ยวกับชีวิต การปล่อยวาง และการตื่นรู้ พระองค์กล่าวว่า “ร่างกายเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว แต่วิญญาณนั้นนิรันดร์” — วิญญาณไม่อาจถูกเผา ทำลาย หรือแม้แต่แตะต้องได้ด้วยอาวุธ ดังนั้นการตายจึงไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นเพียงการเปลี่ยนผ่านของจิตวิญญาณ อรชุนจึงไม่จำเป็นต้องเศร้าโศกกับการเข่นฆ่าญาติมิตร เพราะแท้จริงแล้วไม่มีสิ่งใดสูญสลาย
พระกฤษณะยังอธิบายถึง “ธรรมะ” ในฐานะหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบอย่างไม่มีเงื่อนไข ในฐานะนักรบซึ่งเกิดในวรรณะกษัตริย์ อรชุนมีหน้าที่ต้องต่อสู้เพื่อรักษาความยุติธรรม และในสถานการณ์นี้ การไม่รบต่างหากที่เป็นการละเมิดหน้าที่โดยตรง เพราะอธรรมได้เติบโต เฟื่องฟู และคุกคามสมดุลของโลกมานานเกินไปแล้ว
พระกฤษณะไม่ได้ขอให้อรชุนต่อสู้เพื่อล้างแค้น แต่ขอให้เขารบเพื่อ “รักษาธรรมะ”
เพราะหน้าที่ของมนุษย์นั้นไม่ใช่การเลือกผลลัพธ์ที่พึงใจ แต่คือการกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ในเรื่องมหาภารตะ มีนักรบผู้ยิ่งใหญ่มากมายที่แม้แก่นแท้จะไม่ใช่คนเลวร้าย หากแต่กลับเพิกเฉยต่อความอยุติธรรม ปล่อยให้อธรรมเติบโตเพียงเพราะพวกเขายึดมั่นในคุณธรรมบางอย่างที่ดูงดงามภายนอก แต่ในบริบทของความเป็นจริงแล้วกลับกลายเป็นภัย
พีษมะ คือยอดนักรบผู้ได้รับพรให้ไม่มีวันตาย เว้นแต่ตัวเขาจะยอมสละกายหยาบนั้นด้วยตนเอง พีษมะคือโอรสของพระแม่คงคา เขาได้ให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะละสิทธิ์ในราชสมบัติและไม่แต่งงานตลอดชีวิต ด้วยคำสัตย์นี้เอง เขาจึงกลายเป็นผู้ค้ำจุนราชบัลลังก์ไม่ว่าผู้ปกครองจะเป็นใคร หรือแม้ยามเห็นอธรรมปรากฏชัด เขายังคงยึดมั่นในคำสัตย์ มากกว่าการยืนอยู่ข้างสิ่งที่ถูกต้อง
โทรณาจารย์ คืออาจารย์ผู้สอนศิลปะการต่อสู้ให้กับทั้งฝ่ายปาณฑพและเการพ ด้วยภูมิความรู้และฝีมืออันล้ำเลิศ เขาจึงได้รับความเคารพอย่างสูง แต่แม้เขาจะรู้ว่าสิ่งที่ฝ่ายเการพกระทำคืออธรรม เขากลับยังคงยืนอยู่เคียงข้าง ด้วยเหตุผลของความภักดีและพันธะสัญญาที่มีต่อราชสำนัก และแม้ว่าใจของโทรณาจารย์จะรู้จักผิดถูกชั่วดี แต่เขาก็เลือกจะปิดตาให้กับความจริง
เช่นเดียวกับ พระเจ้าธฤตราษฏระ กษัตริย์ผู้ตาบอดทั้งสองข้าง แต่ความมืดบอดของพระองค์หาได้หยุดอยู่แค่ทางกาย หากยังหมายถึงการ “ปิดตา” ให้กับความผิดพลาดของพระโอรสทั้งหลาย ด้วยความรักในฐานะบิดา พระองค์ไม่กล้าว่ากล่าวตักเตือนบุตรของตนอย่างเด็ดขาด ทั้งหมดนี้คือการเปิดทางให้อธรรมเฟื่องฟูอย่างไม่มีผู้ขัดขวาง
การเพิกเฉยของบุคคลเหล่านี้ — ไม่ว่าจะเกิดจากคำสัตย์ ความภักดี หรือความรัก — ล้วนมีส่วนให้ความอธรรมขยายตัวจนเกินควบคุม
ปรัชญาที่พระกฤษณะสั่งสอนอรชุนนั้น ลึกซึ้งเกินคำว่าสงคราม เพราะท้ายที่สุดแล้ว “คุณธรรม” ที่ดูงดงามภายนอก—อย่างการยึดถือคำสัตย์ ความซื่อสัตย์ต่อเจ้านาย หรือแม้แต่ความรักของบิดาที่มีต่อบุตร—เมื่อถูกนำมาใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม หรือเมื่อคุณธรรมนั้นขัดกับธรรมะและความจริงแล้ว มันก็อาจกลายเป็นอาวุธของอธรรมโดยไม่รู้ตัว…
และในมหากาพย์นี้ “เลข 18” ก็ไม่ใช่แค่ตัวเลขธรรมดา แต่ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์สำคัญที่ถูกฝังอยู่ในโครงสร้างของเรื่องราวอย่างแนบเนียน
สงครามระหว่างปาณฑพและเการพนั้นกินเวลาทั้งสิ้น 18 วัน — โดยการรบจะเริ่มต้นเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น และยุติเมื่อพระอาทิตย์ตกในแต่ละวัน ราวกับว่าธรรมชาติก็ยังเป็นพยานให้กับชะตากรรมที่กำลังคลี่คลาย
นอกจากนี้ อาณาจักรโบราณจำนวนมากยังได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรของทั้งสองฝ่าย โดยฝ่ายเการพมีกำลังทหาร 11 อักเษาหิณี และปาณฑพมี 7 อักเษาหิณี รวมเป็น 18 อักเษาหิณี พอดี
“อักเษาหิณี” (Akshouhini) คือหน่วยนับกำลังทหารโบราณที่ใหญ่ที่สุดตามตำราฮินดู 1อักเษาหิณี ประกอบไปด้วย ทหารราบ 109,350 คน รถศึก 21,870 คัน ม้าศึก 65,610 ตัว และช้างศึก 21,870 เชือก การที่จำนวนรวมของทั้งสองฝ่ายบรรจบกันที่ 18 อักเษาหิณี จึงมิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการสะท้อนถึงความตั้งใจในการออกแบบองค์ประกอบทางวรรณกรรมที่สมดุลและเปี่ยมความหมาย
และนั่นคือเหตุผลที่ชื่อการแสดงชุดนี้ — 18 Days, Dusk of an Era! — จึงไม่ใช่เพียงชื่อเพื่อความไพเราะ
แต่คือการระลึกถึง “จุดจบ” ที่เกิดขึ้นอย่างมีแบบแผน รุนแรง และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตามกฎแห่งกรรมและธรรมะที่จักรวาลยึดถือ
แม้ว่าเรื่องราวของมหาภารตะ จะถูกเล่าขานมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน—ไม่ว่าจะผ่านบทประพันธ์โบราณ ละครโทรทัศน์ แอนิเมชัน หรือภาพยนตร์จอใหญ่—แต่การได้สัมผัสมหากาพย์อันยิ่งใหญ่นี้ในรูปแบบ Dance Musical คือประสบการณ์ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
เพราะศิลปะการแสดงสดไม่เพียงการเล่าเรื่องผ่านท่าทาง แต่เป็นการดึงคุณเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวนั้น—ให้คุณได้ “รู้สึก” ถึงจุดจบของนักรบผู้เกรียงไกร ไม่ว่าจะเป็น พีษมะที่นอนบนเตียงธนู รอจนฤกษ์แห่งความตายมาเยือน, โทรณาจารย์ ผู้หลั่งน้ำตาในสนามรบ แม้มือยังถืออาวุธ หรือแม้แต่ อรชุน ผู้ต้องยืนหยัดในสงครามระหว่างธรรมะกับอธรรม
ทั้งหมดจะถูกถ่ายทอดอย่างทรงพลังผ่านผลงานชิ้นเอกจาก Prabhat Arts International คณะศิลปะร่วมสมัยจากเมืองบังกาลอร์ ประเทศอินเดีย ที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติด้านการตีความวรรณกรรมโบราณด้วยภาษาศิลปะสดใหม่ นักแสดงกว่า 50 ชีวิตจะปลุกชีวิตให้ตำนานกลับมาโลดแล่นอีกครั้ง ด้วยการเคลื่อนไหวที่สื่ออารมณ์อย่างแม่นยำ ผสานเสียงสวดโบราณ จังหวะดนตรีร่วมสมัย และบทกวีที่บรรจบกับภาพบนเวทีอย่างแนบเนียน
นี่ไม่ใช่แค่การ “ชม” เรื่องเล่าในอดีต แต่คือการ “ดำดิ่ง” สู่จิตวิญญาณของมหากาพย์ ที่ทำให้เราได้สัมผัสถึงกลยุทธ์อันซับซ้อน ความเสียสละอันยิ่งใหญ่ และโศกนาฏกรรมที่ยังสะเทือนใจจนถึงวันนี้
นี่คือโอกาสครั้งสำคัญที่จะได้สัมผัสแก่นแท้ของอารยธรรมอินเดีย ผ่านการแสดงสดอันทรงพลัง ที่จะตราตรึงอยู่ในความทรงจำไปอีกนาน
หากคุณพร้อมแล้วที่จะย้อนเวลาไปสัมผัสมหากาพย์สุดอลังการแห่งยุค Mahabharata: 18 Days, Dusk of an Era! จากคณะ Prabhat Arts International ประเทศอินเดีย จะเปิดการแสดงที่ประเทศไทยเพียงรอบเดียวเท่านั้นในวันเสาร์ที่ 6 กันยายน 2568 เวลา 18.00 น. ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สามารถจองนี่ทั่งล่วงหน้าได้แล้ววันนี้ https://bit.ly/4ezgGcu
___________________
สำหรับใครที่ชอบการแสดงแนวเต้นแบบ Classical Indian dance แต่ไม่สะดวกวันเสาร์ที่ 6 กันยายน ยังมีโชว์เต้นจากประเทศอื่นที่อยากชวนให้ไปชม ยกตัวอย่างเช่น
• Cuba Vibra •
คณะ Lizt Alfonso Dance Cuba
การแสดงที่จะชวนผู้ชมย้อนรอยวิวัฒนาการของจังหวะคิวบาตั้งแต่ยุคทองของทศวรรษ 1950 อันเป็นช่วงเวลาที่ดนตรีคิวบาโด่งดังไปทั่วโลกด้วยจังหวะแบบแมนโบ (Mambo) อันเร้าใจ และพาไปสัมผัสการผสานวัฒนธรรมอย่างน่าทึ่งเข้ากับดนตรีและสไตล์การเต้นร่วมสมัย เช่น ละตินแจ๊ส สวิง ร็อกแอนด์โรล ไปจนถึงกลิ่นอายของฟลาเมงโกจากสเปน
-รอบการแสดง-
วันอังคารที่ 16 กันยายน 2568 เวลา 19.00 น.
ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สามารถจองนี่ทั่งล่วงหน้าได้แล้ววันนี้ https://bit.ly/44groBh
•Nocturna, Architecture of Insomnia•
Rafaela Carrasco Flamenco Ballet
สนับสนุนโดย สถานเอกอัครราชทูตสเปน
คุณเคยเผชิญค่ำคืนแห่งการนอนไม่หลับหรือไม่? รู้หรือไม่ ปัญหาการนอนไม่หลับ หรือภาวะ Insomnia เคยเกิดขึ้นกับประชากรโลกกว่า 1 ใน 3 และในบางประเทศ ตัวเลขนี้อาจสูงถึง 50-70% สำหรับผู้ใหญ่ ประสบการณ์อันเป็นสากลที่ว่า ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ “Nocturna, Architecture of Insomnia” การแสดงฟลาเมงโกแนวใหม่ที่ไม่เหมือนใคร โดย Rafaela Carrasco Flamenco Ballet ซึ่งจะพาคุณดำดิ่งสู่โลกภายในของ “คนนอนไม่หลับ” ผ่านภาษาของร่างกายที่ทรงพลังที่สุด
-รอบการแสดง-
วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน 2568 เวลา 19.00 น.
ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สามารถจองนี่ทั่งล่วงหน้าได้แล้ววันนี้ http://bit.ly/3GqqLvW
•NINA•
PRJCT360 Dance Company
(จอแสดงคำอธิบายภาษาไทยและอังกฤษ)
การแสดงจากประเทศบัลกาเรียที่จะชวนทุกท่านติดตามชีวิตของหญิงแกร่งนาม “นีน่า” ผู้ซึ่งชีวิตต้องเผชิญกับบททดสอบครั้งใหญ่ เมื่อความรักกลับขวางกั้นความฝัน และเธอต้องต่อสู้ฝ่าฝันไปกับการตัดสินใจครั้งใหญ่ นี่คือการแสดงที่จะพาคุณร่วมลุ้นและเอาใจช่วยในทุกย่างก้าวของการฝ่าฟันอุปสรรค เพื่อก้าวขึ้นจากเบี้ยที่ไร้ทางเลือก สู่การเป็น “ราชินี” ผู้กุมชะตาชีวิตของตนเอง
-รอบการแสดง-
วันเสาร์ที่ 27 กันยายน 2568 เวลา 19.00 น.
ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สามารถจองนี่ทั่งล่วงหน้าได้แล้ววันนี้ https://bit.ly/4eGqhhQ
•Pixel•
Compagnie Käfig
สนับสนุนโดย สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสคือผู้นำศิลปะการแสดงระดับโลกที่บ่มเพาะทั้งความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม “Pixel” คือตัวอย่างสำคัญของการหลอมรวมมนุษย์กับเทคโนโลยีผ่านการแสดงสดที่ทลายขีดจำกัดเดิมๆ ด้วยแสง เสียง และกราฟิก 3 มิติที่ตอบสนองร่างกายนักเต้นแบบเรียลไทม์ ราวกับภาพเสมือนมีชีวิต นักเต้นหลากหลายสไตล์อย่างฮิปฮอป บีบอย สตรีทแดนซ์ ใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือโต้ตอบกับภาพ พื้นผิว พายุ หรือแรงโน้มถ่วงจำลองที่บิดเบี้ยวเคลื่อนไหวไปพร้อมกันอย่างไร้รอยต่อ นี่คือการเปิดประตูสู่มิติใหม่ของศิลปะ ที่ผู้ชมจะได้เห็นอนาคตเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้า
-รอบการแสดง-
วันอังคารที่ 30 กันยายน 2568 เวลา 19.00 น.
ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สามารถจองนี่ทั่งล่วงหน้าได้แล้ววันนี้ https://bit.ly/4lFFkdJ
References:
Why Did Lord Krishna Not Stop the Mahabharata War? https://www.youtube.com/watch?v=I6JxPaZZ1Bs
Kurukshetra War :18 Days of Mahabharata War https://vedicfeed.com/18-days-of-the-mahabharata-war-summary-of-the-war/
THE MAHABHARATA WAR: A SAGA OF DHARMA, DUTY, AND DIVINE INTERVENTION https://venupayyanur.com/the-mahabharata-war-a-saga-of-dharma-duty-and-divine-intervention-2/