หากจะกล่าวถึงหนึ่งในโอเปราที่ครองใจผู้ชมทั่วโลกมานานนับศตวรรษ ชื่อของ “ทอสก้า” (Tosca) ผลงานของ จาโกโม ปุชินี (Giacomo Puccini) จะต้องถูกรวมอยู่ในลิสต์อันดับต้น ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย—โดยเฉพาะเมื่อโอเปราคลาสสิกเรื่องนี้กำลังจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งบนเวทีประเทศไทย ผ่านการแสดงสดเต็มรูปแบบโดย Samara Opera & Ballet Theatre จากรัสเซีย หนึ่งในคณะโอเปราและบัลเลต์ที่ทรงเกียรติที่สุดของโลก
สำหรับใครที่หลงรักมิวสิคัลแต่ยังไม่เคยดูโอเปรา อาจคิดว่าการแสดงนี้เป็นเรื่องดูยากหรือไกลตัว แต่แท้จริงแล้ว โอเปรามีส่วนที่คล้ายกับมิวสิคัลคือการใช้บทเพลงในการเล่าเรื่อง เพียงแต่เพิ่มความทรงพลังด้วยเสียงร้องสดอันประณีตและดนตรีออร์เคสตราที่โอบอุ้มทุกอารมณ์ โดยเฉพาะ “Tosca” ของปุชินีที่ถือเป็นหนึ่งในโอเปร่าที่ “ดูง่ายกว่าที่คิด” เพราะมีเส้นเรื่องที่ชัด เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรัก ความหลงใหล การหักหลัง และโศกนาฏกรรมอันสั่นสะเทือนใจ เสริมด้วยดนตรีที่ทั้งเร้าอารมณ์และงดงามจับใจ จนทำให้ โอเปราเรื่องนี้กลายเป็นผลงานที่ควรค่าแก่การเปิดใจมาสัมผัสสักครั้งในชีวิต
นอกจากเนื้อเรื่องและบทเพลงที่ติดหู สิ่งที่ทำให้ “Tosca” โดดเด่นยิ่งกว่าหลายเรื่องในยุคเดียวกัน คือการที่บทละครเลือกหยิบฉากหลังทางประวัติศาสตร์ที่กำลังเกิดขึ้นจริงในยุโรป ณ ตอนนั้น มาเป็นแก่นของเรื่องเล่า สะท้อนความปั่นป่วนทางการเมืองในอิตาลียุคปลายศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษที่ 19 ได้อย่างลึกซึ้งและร่วมสมัย
โอเปราเรื่อง “Tosca” เปิดแสดงเป็นครั้งแรกที่กรุงโรม เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1800 ซึ่งเป็นวันเดียวที่ “ยุทธการมาเรงโก” (Battle of Marengo) เริ่มต้นขึ้นพอดี การสู้รบในครั้งนี้เป็นการปะทะกันระหว่างกองทัพฝรั่งเศสภายใต้การนำของ นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) กับกองทัพออสเตรียที่กำลังเข้ามามีบทบาทอย่างสูงในอิตาลี ผลของความไม่สงบที่เกิดขึ้น ทำให้การแสดงโอเปราต้องถูกเลื่อนออกไปถึง 24 ชั่วโมงเพราะกลัวจะเกิดความรุนแรง
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 อิตาลียังไม่ได้รวมตัวเป็นชาติแบบที่เรารู้จักในปัจจุบัน แต่ประกอบด้วยรัฐอิสระหลายแห่ง ได้แก่ ราชอาณาจักรซาร์ดีเนีย ราชอาณาจักรเนเปิลส์และซิซิลี แคว้นทัสคานี และที่สำคัญคือ “รัฐสันตะปาปา” (Papal States) ซึ่งมีกรุงโรมเป็นศูนย์กลาง รัฐสันตะปาปาในตอนนั้นปกครองโดยสมเด็จพระสันตะปาปาพิอุสที่ 7 (Pope Pius VII) โดยมีจักรวรรดิออสเตรียให้การสนับสนุนอย่างใกล้ชิด การแทรกแซงของฝรั่งเศสในนามของการปฏิวัติและการตั้ง “สาธารณรัฐโรมัน” (Roman Republic) ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับฝ่ายกษัตริย์นิยมและสถาบันศาสนา
หนึ่งในผู้เล่นทางการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในคาบสมุทรอิตาลีขณะนั้นคือ ราชินีมาเรีย คาโรลินาแห่งเนเปิลส์และซิซิลี (Maria Carolina of Naples and Sicily) พระราชินีผู้มีอำนาจในการตัดสินใจด้านการทหาร และเป็นผู้สนับสนุนฝ่ายกษัตริย์นิยมอย่างสุดตัว พระองค์เป็นพี่สาวของพระนางมารี อ็องตัวเน็ต ราชินีแห่งฝรั่งเศสซึ่งถูกประหารจากการปฏิวัติ ดังนั้นจึงเกลียดชังฝรั่งเศสเป็นอย่างยิ่ง
พระนางมาเรีย คาโรลินาไม่เพียงเป็นสมเด็จอาของจักรพรรดิออสเตรีย ยังทรงเป็นพระมเหสีของกษัตริย์แห่งเนเปิลและซิซิลีซึ่งเป็นราชอาณาจักรที่คุมอำนาจใหญ่ทางตอนใต้ของอิตาลี และเนื่องจากพระสวามีของพระนางไม่ให้ความสนใจเรื่องเหตุบ้านการเมือง อำนาจส่วนใหญ่จึงตกอยู่กับพระราชินี มาเรีย คาโรลินามีบทบาทในการส่งกองกำลังเข้าบุกยึดโรมเพื่อโค่นล้มรัฐบาลสาธารณรัฐ ซึ่งทำให้สถานการณ์ในโรมตึงเครียดยิ่งขึ้น ตัวละครในทอสก้าจึงล้วนเป็นผู้ที่กำลังดิ้นรนอยู่ในกระแสประวัติศาสตร์อันเชี่ยวกรากนั้น
เรื่องราวในทอสก้าประกอบด้วยการแสดงสามองก์ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ความรักระหว่างนักร้องโอเปราผู้โด่งดัง ฟลอเรีย ทอสก้า (Floria Tosca) กับจิตรกรหัวก้าวหน้า มาริโอ คาวาราโดสซี (Mario Cavaradossi) ซึ่งต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากรัฐ ผู้มีอำนาจ และความรักที่อยู่ในภาวะไม่สมดุล โอเปราเปิดฉากมา ณ ตอนที่กองทัพของฝ่ายกษัตริย์นิยมสามารถยึดกรุงโรมกลับมาได้จากนโปเลียนเป็นช่วงเวลาสั้นๆ
ในองค์แรก เรื่องเริ่มต้นเมื่อ เชซาเร อันเจลอตติ (Cesare Angelotti) อดีตกงสุลของสาธารณรัฐโรมันหลบหนีจากคุก มาหลบภัยในโบสถ์ซานอันเดรีย เดลลา วัลเล (Sant’Andrea della Valle) และได้พบกับคาวาราโดสซีที่กำลังวาดภาพอยู่ในโบสถ์ คาวาราโดสซีและอันเจลอตติมีความเชื่อทางการเมืองเหมือนกัน คือทั้งสองสนับสนุนฝ่ายสาธารณรัฐต่อต้านกษัตริย์นิยม คาวาราโดสซีตัดสินใจให้การช่วยเหลืออันเจลอตติ ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน ทอสก้า – คนรักของคาวาราโดสซี ก็ปรากฏตัวและเกิดสงสัยว่าแฟนหนุ่มของเธอแอบนัดพบผู้หญิงอื่น โดยเฉพาะ เมื่อเธอพบว่าภาพวาดของแมรี่ แม็กดาลีนซึ่งแฟนหนุ่มกำลังวาด มีลักษณะคล้ายกับน้องสาวของอันเจลอตติ
บารอนสการ์เปีย (Baron Scarpia) หัวหน้าตำรวจผู้อำมหิตกำลังติดตามนักโทษหลบหนี เขาหลงใหลในตัวทอสก้าจึงตั้งใจปั่นให้เธอเชื่อว่าแฟนหนุ่มกำลังนอกใจเพื่อหวังใช้ความหึงหวงของทอสก้าเป็นเครื่องมือในการติดตามตัวอันเจลอตติ ทอสก้าเกิดสงสัยในตัวคนรักจึงตามไปหาเขาที่บ้านพักตากอากาศ สการ์เปียสั่งให้ตำรวจติดตามเธอไป และสามารถจับกุมตัวมาริโอ คาวาราโดสซีกลับมาได้
องค์ที่สองดำเนินเรื่องในพระราชวังฟาร์เนเซ (Palazzo Farnese) สการ์เปียสั่งให้ทรมานคาวาราโดสซีต่อหน้าทอสก้าเพื่อบีบบังคับให้เธอเปิดเผยที่ซ่อนของอันเจลอตติ สุดท้ายเธอยอมบอกข้อมูลเพราะทนฟังเสียงร้องของคนรักไม่ไหว แม้จะได้ข้อมูลสำคัญ แต่สการ์เปียต้องการกำจัดคนรักของทอสก้าจึงส่งให้นำตัวคาวาราโดสซีไปประหารในวันรุ่งขึ้น ทอสก้ายอมแลกทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อช่วยคนรัก แต่สาร์เปียกลับบอกว่าเขาต้องการร่างกายของเธอเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนโดยหากเธอยอมทำตาม เขาจะสั่งให้ทหารยิงกระสุนปลอม ทอสก้าได้ฟังดังนั้นก็ขอให้สการ์เปียเขียนจดหมายผ่านทางเพื่อให้เธอกับคนรักออกจากโรมได้อย่างปลอดภัย แต่ในขณะที่สการ์เปียเขียนจดหมายจนเสร็จ ทอสก้าก็ใช้มีดแทงสการ์เปียสจนตาย
องค์ที่สามกลับมาที่ฉากของคาวาราโดสซีซึ่งกำลังถูกขังเพื่อรอการประหาร ทอสก้ามาหาคนรักเพื่อแจ้งข่าวดีว่าการประหารในวันรุ่งขึ้นจะเป็นเพียงการยิงกระสุนปลอม จึงให้เขาแกล้งตายแล้วทั้งคู่จะได้หนีไปด้วยกัน อย่างไรก็ดี เมื่อการประหารเกิดขึ้น กระสุนที่ใช้กลับเป็นของจริงเพราะสกอร์เปียตั้งใจหักหลังทอสก้าตั้งแต่ต้น เมื่อทอสก้าเห็นว่าคนรักของตัวเองสิ้นลมหายใจ เธอจึงกระโดดจากป้อมเพื่อจบชีวิตตาม
สิ่งที่ทำให้ “ทอสก้า” กลายเป็นโอเปราที่มีเสน่ห์และถูกพูดถึงแม้ผ่านเวลามากว่าร้อยปี ไม่ใช่เพียงเพราะท่วงทำนองดนตรีที่จับใจหรือฉากโศกนาฏกรรมอันรุนแรง แต่เพราะตัวละครหลักทั้งสามสะท้อนขั้วอุดมการณ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ฟลอเรีย ทอสก้า เป็นตัวแทนของศิลปะ ศรัทธา และความเชื่อส่วนตัวที่ถูกบีบคั้นให้เลือกข้างโดยไม่เต็มใจ มาริโอ คาวาราโดสซี คือสัญลักษณ์ของอุดมการณ์เสรีนิยมและการปฏิวัติ ในขณะที่บารอนสการ์เปีย แทนฝ่ายอำนาจนิยม กษัตริย์นิยม และความรุนแรงของรัฐที่ใช้ศาสนาและศีลธรรมเป็นเครื่องมือ
นอกจากนี้ การที่บทโอเปราเลือกสถานที่ที่มีอยู่จริงในกรุงโรม ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ซานอันเดรีย เดลลา วัลเล หรือพระราชวังฟาร์เนเซ ล้วนทำให้เรื่องราวมีน้ำหนักของความเป็นจริง ไม่ต่างจากละครประวัติศาสตร์ที่ผู้ชมรู้สึกเหมือน “เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์” และตั้งคำถามต่ออำนาจรัฐ ความเชื่อทางศาสนา และศีลธรรมในสังคม
และในโอกาสพิเศษนี้ ผู้ชมชาวไทยจะได้สัมผัส “Tosca” ผ่านการแสดงสดเต็มรูปแบบโดย Samara Opera & Ballet Theatre จากรัสเซีย หนึ่งในคณะโอเปราและบัลเลต์ที่เก่าแก่และทรงเกียรติที่สุดในประเทศ พวกเขาจะนำโอเปร่า 3 องก์สุดคลาสสิกนี้มาถ่ายทอดด้วย ออร์เคสตร้าสดเต็มวงและนักแสดงมากฝีมือ ดำดิ่งสู่ห้วงอารมณ์อันรุนแรง ที่ซึ่งความรัก ศรัทธา และอำนาจถูกทดสอบจนถึงลมหายใจสุดท้าย
จาโคโม ปุชชินี คือหนึ่งในคีตกวีโอเปราผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยแนวทางการประพันธ์ที่มุ่งสื่ออารมณ์ให้เข้าถึงหัวใจผู้ชมอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะธีมสำคัญอย่าง “ความรักและผลของความรัก” ดังเช่นปรัชญาที่ว่า “ผู้มีชีวิตอยู่เพื่อรัก มักตายเพราะรัก” ซึ่งเป็นแก่นในงานของเขาหลายเรื่อง
ปุชชินีหลงใหลใน Verismo Opera (เวริสโม โอเปร่า)—แนวทางที่เฟื่องฟูในปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งเล่าเรื่องชีวิตจริงของคนธรรมดาอย่างตรงไปตรงมา แทนที่เรื่องราวเทพนิยายหรือราชวงศ์แบบเดิม และ “Tosca” ก็คือผลงานชิ้นเอกที่สะท้อนจิตวิญญาณของแนวทางนี้ได้อย่างเข้มข้น
“Tosca” ได้รับแรงบันดาลใจจากบทละครของนักเขียนฝรั่งเศส วิกตอเรียง ซาร์ดู (Victorien Sardou) ถ่ายทอดเรื่องราวสะเทือนใจที่เต็มไปด้วยการหักมุม ละครเรื่องนี้ได้รับความนิยมมากจนปุชชินีเองตัดสินใจขอซื้อลิขสิทธิ์เพื่อนำมาเรียบเรียงใหม่ในฉบับโอเปรา โดยแม้ว่าโอเปราเรื่องนี้จะไม่ได้เล่าเหตุการณ์สงครามโดยตรง แต่บรรยากาศทางการเมืองที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นคง การกดขี่ และความขัดแย้งทางอุดมการณ์ กลับส่งอิทธิพลต่อชะตากรรมของตัวละครอย่างลึกซึ้ง
การแสดงครั้งนี้โดย Samara Opera & Ballet Theatre จึงมิใช่เพียงการแสดงดนตรีและบทละคร แต่เป็น การถ่ายทอดวิญญาณของโอเปราที่จะสะกดทุกสายตาของผู้ชม—จากนักร้องผู้เปล่งเสียงด้วยหัวใจ จากนักดนตรีที่ร่วมสร้างบรรยากาศทางอารมณ์ และจากทุกองค์ประกอบที่ชักพาผู้ชมย้อนกลับไปยังกรุงโรมในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
นี่คือเหตุผลที่ “Tosca” ยังคงถูกเล่นซ้ำแล้วซ้ำอีกในโรงละครทั่วโลก และไม่เคยสูญเสียพลังในการตั้งคำถามต่ออำนาจ ความรัก และศรัทธา แล้วคุณล่ะพร้อมหรือยังที่จะสัมผัสกับพลังของทอสก้า ผ่านการแสดงครั้งประวัติศาสตร์ที่จะเปิดฉากในประเทศไทย
-รอบการแสดง-
วันอังคารที่ 7 ตุลาคม 2568 เวลา 19.00 น
ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สามารถจองนี่ทั่งล่วงหน้าได้แล้ววันนี้ https://bit.ly/3TY2ZdD
_________
สำหรับท่านไหนที่อยากไปชมการแสดงของ Samara Opera & Ballet Theatre แต่ไม่สะดวกตามวันเวลาที่กล่าวไป ทาง Samara Opera & Ballet Theatre ยังมีการแสดงโอเปราอีกหนึ่งโชว์คือ ‘Aida’ โอเปราอมตะของจูเซปเป แวร์ดี คีตกวีผู้เป็นเสาหลักแห่งโอเปราอิตาเลียนในศตวรรษที่ 19
ต่างจาก Tosca ที่พาเราไปสัมผัสยุโรปยุคสงครามนโปเลียน Aida ย้อนเวลากลับไปนับพันปีในยุคอียิปต์โบราณ เล่าถึงโศกนาฏกรรมรักสามเส้าเกิดขึ้นท่ามกลางฉากหลังของอาณาจักรที่กำลังเผชิญศึกสงคราม: Aida (ไออีดา) – เจ้าหญิงเอธิโอเปียที่ต้องปลอมตัวเป็นทาส, Radamès (ราดาเมส) – แม่ทัพหนุ่มผู้เก่งกาจแห่งอียิปต์ ผู้เป็นที่รักของไออีดา, และ Amneris (อัมเนริส) – ธิดาฟาโรห์ ผู้หลงรักราดาเมสไม่แพ้กัน
โอเปราเรื่องนี้ให้กลิ่นอายความอลังการแบบอียิปต์โบราณเพราะแต่งขึ้นเพื่อฉลิมฉลองการเปิดโรงโอเปราเคดีเวียลแห่งใหม่ในกรุงไคโร (Khedivial Opera House) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ในการยกระดับประเทศให้ทันสมัยและเป็นที่ยอมรับในเวทีโลก—ในช่วงเวลาเดียวกับการเปิดคลองสุเอซในปี 1869
Aida โดย Samara Opera & Ballet Theatre จะเปิดการแสดงเพียงรอบเดียวเท่านั้น คือในวันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม 2568 เวลา 19.00 น. ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สามารถจองนี่ทั่งล่วงหน้าได้แล้ววันนี้ https://bit.ly/4eBWJBN
References:
The Story Behind the Opera “Tosca” by Puccini https://galaxymusicnotes.com/pages/the-story-behind-the-opera-tosca-by-puccini
Tosca https://www.eno.org/operas/tosca/
Tosca in a nutshell https://www.operanorth.co.uk/news/tosca-in-a-nutshell/
The story of Puccini’s Tosca https://romeoperaconcerts.com/the-story-of-tosca