เมื่อวัฒนธรรมไม่ได้หยุดอยู่กับที่ แต่เคลื่อนไหวไปพร้อมร่างกาย หัวใจ และเสียงของผู้คน
ในโลกที่เราต่างเชื่อมต่อกันมากขึ้นทุกวัน ศิลปะการเคลื่อนไหวไม่เพียงเป็นการแสดงออก แต่ยังเป็นภาษาที่ไร้พรมแดน—ถ่ายทอดตัวตน ประวัติศาสตร์ และอารมณ์ของผู้คนแต่ละวัฒนธรรมได้อย่างลึกซึ้ง
ในทุกอารยธรรม การเคลื่อนไหวไม่เคยเป็นเพียงการเต้น หากแต่เป็นเครื่องมือในการบันทึกเรื่องราวของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมในโลกยุคโบราณ การเต้นรำเฉลิมฉลองในราชสำนัก หรือการลุกขึ้นขยับจังหวะเพื่อปลอดปล่อยความรู้สึก ด้วยท่วงท่าที่อาจถอดรหัสได้เหมือนการอ่านข้อความ ศิลปะการเคลื่อนไหวจึงกลายเป็นวิธีหนึ่งในการเล่าเรื่อง ท้าทายอำนาจ และสื่อสารอัตลักษณ์
ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ร่างกายเป็นภาชนะสำคัญในการสื่อสารวัฒนธรรม รวมไปถึงแรงสั่นสะเทือนจากเหตุการณ์สำคัญและการปะทะสังสรรค์ในห้วงประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะในรูปของระบำพื้นบ้านหรือการเต้นร่วมสมัย ศิลปะการเคลื่อนไหวคือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า วัฒนธรรมไม่เคยหยุดนิ่ง แต่สามารถเปลี่ยนแปลง ปรับเปลี่ยน และถูกแปรรูปตามบริบทของสังคมในแต่ละยุคสมัย
บทความพิเศษชุดนี้จะพาคุณเดินทางไปยังสี่ประเทศ ผ่านสี่การแสดงที่แตกต่างกันทั้งด้านสไตล์ เทคนิค และจุดยืนทางศิลปะ ตั้งแต่จังหวะร้อนแรงที่หลอมรวมแอฟริกัน-สเปนแห่งคิวบา เรื่องเล่าชีวิตหญิงแกร่งจากบัลแกเรีย เทคโนแดนซ์แบบไซเบอร์สเปซจากฝรั่งเศส ไปจนถึงบทกวีแห่งความไม่หลับไหลในฟลาเมงโกของสเปน
🇨🇺 Cuba Vibra – จังหวะแห่งจิตวิญญาณ

เปิดประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่ร้อนแรงและเปี่ยมชีวิตชีวา กับ Cuba Vibra โดยคณะ Lizt Alfonso Dance Cuba (LADC) จากฮาวานา การแสดงชุดนี้จะพาทุกคนดำดิ่งสู่แก่นแท้ของจิตวิญญาณคิวบา ผ่านทุกจังหวะการเคลื่อนไหวที่สะท้อนประวัติศาสตร์อันยาวนานของดินแดนแห่งเสียงเพลง
ประวัติศาสตร์การเต้นรำของคิวบานั้นซับซ้อนและน่าหลงใหลไม่แพ้ประวัติศาสตร์ของประเทศเอง โดยมีรากฐานสำคัญจากการหลอมรวมวัฒนธรรมสองสายหลักคือวัฒนธรรมแอฟริกัน ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับผู้คนจากทวีปแอฟริกาในอดีต และวัฒนธรรมสเปน ที่เข้ามาพร้อมกับการสำรวจโลกใหม่ การผสมผสานนี้ก่อให้เกิดจังหวะและรูปแบบการเต้นรำอันเป็นเอกลักษณ์มากมาย อาทิ ซอน (Son) ซึ่งเป็นหัวใจของดนตรีคิวบา, รุมบา (Rumba) ที่เต็มไปด้วยพลังและลีลาอิสระ, กองกา (Conga) จังหวะแห่งการเฉลิมฉลอง, ไปจนถึง ชาชาช่า (Cha-cha-chá) หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ “สามช่า” ที่แพร่หลายในงานรื่นเริงของไทย
แต่ละจังหวะเหล่านี้ไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างไร้ที่มา หากแต่เป็นผลลัพธ์ของประวัติศาสตร์อันซับซ้อนของคิวบา—เกาะเล็กๆ ในทะเลแคริบเบียนที่กลายเป็นจุดตัดของโลกเก่าและโลกใหม่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16
ในยุคอาณานิคม สเปนได้นำแรงงานจำนวนมากมาจากแอฟริกาและในกระแสการเคลื่อนย้ายนี้เอง วัฒนธรรมแอฟริกัน—โดยเฉพาะศาสนา ภาษา จังหวะกลอง และการเต้นรำ—ได้หยั่งรากลึกลงในสังคมคิวบา ผสมผสานกับแบบแผนการเต้นรจากยุโรปเช่น เมนูเอตต์ (Minuet – การเต้นรำของราชสำนักยุโรปที่เน้นความสง่างาม) และคอนทราดานซา (Contradanza – การเต้นรำพื้นบ้านของยุโรปที่เน้นความคึกคัก มีชีวิตชีวา) จนเกิดเป็นรูปแบบใหม่ของการเต้นที่ทั้งหรูหราและเร้าอารมณ์
ในศตวรรษที่ 20 คิวบายังกลายเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมทางดนตรีในละตินอเมริกา โดยเฉพาะกรุงฮาวานา เมืองหลวงและเมืองท่าที่มีชื่อเสียงระดับโลกในฐานะศูนย์กลางของความบันเทิงยามค่ำคืน และคลับเต้นรำต่างๆ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวอเมริกัน ทำให้ดนตรีคิวบากลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก
สำหรับชาวคิวบาแล้ว การเต้นรำก็เป็นส่วนสำคัญของการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นช่วงการปลดปล่อยประเทศจากอาณานิคม หรือในยุคหลังปฏิวัติคิวบาเมื่อปี 1959 เมื่อรัฐบาลได้ส่งเสริมให้ศิลปะเป็นเครื่องมือหล่อหลอมอัตลักษณ์แห่งชาติ ชนิดที่ว่า “จังหวะ” กลายเป็นทั้งรูปแบบของการเฉลิมฉลองและภาษาทางการเมืองในคราวเดียวกัน
ปัจจุบัน การเต้นรำของคิวบาเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญสำหรับนักเต้นและนักออกแบบท่าเต้นมาโดยตลอด เนื่องจากมีองค์ประกอบสำคัญอันน่าทึ่งหลายประการ อาทิ การผสมผสานของแนวการเต้นรำที่แตกต่างกัน, สัมผัสที่เย้ายวน, พลังและอารมณ์, การใช้เท้าที่แม่นยำ และจังหวะการหยุดที่เร้าอารมณ์ นอกจากนี้ การเต้นรำของคิวบายังพัฒนาไปตามกาลเวลา โดยผสมผสานองค์ประกอบจากรูปแบบการเต้นรำอื่นๆ และปรับให้เข้ากับกระแสความนิยม จนกลายเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมคิวบาที่ได้รับการฝึกฝนและชื่นชมอย่างกว้างขวางไปทั่วโลก
Cuba Vibra จะชวนผู้ชมย้อนรอยวิวัฒนาการของจังหวะคิวบาตั้งแต่ยุคทองของทศวรรษ 1950 อันเป็นช่วงเวลาที่ดนตรีคิวบาโด่งดังไปทั่วโลกด้วยจังหวะแบบแมนโบ (Mambo) อันเร้าใจ และพาไปสัมผัสการผสานวัฒนธรรมอย่างน่าทึ่งเข้ากับดนตรีและสไตล์การเต้นร่วมสมัย เช่น ละตินแจ๊ส สวิง ร็อกแอนด์โรล ไปจนถึงกลิ่นอายของฟลาเมงโกจากสเปน
คณะ Lizt Alfonso Dance Cuba (LADC) ซึ่งเป็นที่รู้จักในระดับโลกจากสไตล์ Fusion Dance (การผสมผสานองค์ประกอบจากสไตล์การเต้นหลากหลายเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน) ถูกก่อตั้งโดย Lizt Alfonso นักออกแบบท่าเต้นหญิงผู้ทรงอิทธิพล ผู้ได้รับรางวัลเกียรติยศจากทำเนียบขาวโดยอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งอย่างมิเชลล์ โอบาม่า นี่คือคณะเต้นจากคิวบาคณะแรกที่ได้รับเกียรติแสดงบนเวที Latin Grammy Awards ณ ลาสเวกัส ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงฝีมือระดับโลกของพวกเขา
Cuba Vibra จึงไม่ใช่เพียงโชว์ที่สวยงาม แต่เป็นบันทึกของประวัติศาสตร์ที่เคลื่อนไหวผ่านเรือนร่าง เป็นเสียงของประวัติศาสตร์ และหัวใจของประชาชนคิวบาที่โหมแรงเหมือนจังหวะกลอง—เร้าใจ สดใหม่ และเปี่ยมชีวิต
มาร่วมสัมผัสจิตวิญญาณของคิวบาได้ผ่านการแสดงชุดพิเศษในปีนี้ ที่อาจทำให้ทุกท่านได้รู้จักประเทศคิวบามากกว่าที่เคย
-รอบการแสดง-
วันอังคารที่ 16 กันยายน 2568 เวลา 19.00 น.
ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สามารถจองนี่ทั่งล่วงหน้าได้แล้ววันนี้ https://bit.ly/44groBh
🇪🇸 Nocturna – จังหวะแห่งความไม่หลับใหล

ในค่ำคืนอันเงียบงันทีไม่อาจข่มตาหลับได้ เสียงในตัวเรากลับยิ่งชัดเจนขึ้น ร่างกายเหมือนจะกลายเป็นเวทีว่างเปล่า ทุกอณูของความรู้สึกค่อยๆ เดินออกมาโดยไม่มีคำอธิบาย การนอนไม่หลับไม่ใช่เพียงการพรากเราจากการพักผ่อน แต่มันดึงเราเข้าสู่ภาวะของความตื่นรู้แปลกประหลาด—ระหว่างฝันกับความจริง ระหว่างเสียงกับความเงียบ และนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมฟลาเมงโกจึงเป็นภาษาที่เหมาะสมที่สุดในการบอกเล่าความรู้สึกเช่นนี้ได้อย่างงดงาม
คุณเคยเผชิญค่ำคืนแห่งการนอนไม่หลับหรือไม่? รู้หรือไม่ กว่า 30% ของผู้ใหญ่ทั่วโลกเผชิญกับภาวะนอนไม่หลับเรื้อรังซึ่งส่งผลให้เกิดความรู้สึกเชิงลบ เช่น ความวิตกกังวล ความเครียด และความโกรธที่รุนแรงขึ้นกว่าปกติ ผลกระทบนี้ไม่ใช่แค่ในระดับความคิดเท่านั้น แต่สะท้อนผ่านภาษากายและการแสดงออกของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง
Nocturna, Architecture of Insomnia การแสดงฟลาเมงโกชุดพิเศษจากสเปน ไม่ได้เพียงแค่แปลประสบการณ์ของคนที่นอนไม่หลับออกมาเป็นการเต้น หากแต่เป็นการเชื้อเชิญให้เราเข้าไปฟังเสียงของตนเองในความเงียบ ผ่านร่างกายที่เปล่งถ้อยคำแทนจิตใจ ทุกจังหวะเท้า ทุกปลายนิ้วที่เคลื่อนไหว คือสถาปัตยกรรมที่สร้างจากคืนอันยาวนานเมื่อสมองไม่อาจตกสู่ภาวะหลับใหลได้สนิท
ฟลาเมงโกในฐานะศิลปะ ไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างโอ่อ่าในห้องแสดงดนตรีหรือโรงเรียนสอนศิลปะ แต่เริ่มต้นจากความเรียบง่ายในชีวิตประจำวันของผู้คนทางตอนใต้ของสเปน ในแคว้นอันดาลูเซีย บทเพลงและการเต้นรำผสานกันขึ้นท่ามกลางวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทั้งจากกลุ่มคนพื้นเมืองในแคว้น, ชาวโรมา (ยิปซี) ที่นำพาบทเพลงและท่วงท่ามาจากอินเดีย ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก รวมถึงอิทธิพลจากชาวมัวร์ (มุสลิม) ที่ปกครองทางตอนใต้ของสเปนมาอย่างยาวนาน
กระทั่งในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ฟลาเมงโกเริ่มเข้าสู่เวทีสาธารณะมากขึ้น โดยเฉพาะใน “คาเฟ่ กันตานเต้” (café cantante) ที่กลายเป็นสถานที่แสดงดนตรีและการเต้นฟลาเมงโกซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเมืองใหญ่ของสเปน จากนั้นไม่นาน ฟลาเมงโกก็เริ่มพัฒนาในเชิงรูปแบบ มีการประพันธ์ท่าเต้นขึ้นเฉพาะ มีนักกีตาร์มืออาชีพ นักร้องระดับตำนาน และโรงเรียนสอนฟลาเมงโกเกิดขึ้นในหลายเมือง กระบวนการเหล่านี้ทำให้ฟลาเมงโกค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่พื้นที่ทางวัฒนธรรมอย่างเป็นทางการ ทั้งในฐานะศิลปะบนเวที และในฐานะตัวแทนของ “ความเป็นสเปน” ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว
ในการแสดงชุดนี้ ราฟาเอลา การ์รัสโก (Rafaela Carrasco) ผู้กำกับและนักออกแบบท่าเต้นชั้นนำ ได้ร่วมมือกับกวีและนักเขียนบท อัลบาโร ตาโต้ (Álvaro Tato) เพื่อสำรวจมิติใหม่ของฟลาเมงโกผ่านธีม “การนอนไม่หลับ” โดยได้แรงบันดาลใจจาก Goldberg Variations บทเพลงที่ประพันธ์โดยคีตกวีชื่อดัง – โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค (Johann Sebastian Bach) บทเพลงคีย์บอร์ดชิ้นเอกนี้ขึ้นชื่อเรื่องความซับซ้อนและโครงสร้างที่ถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างมีแบบแผน มีความหลากหลายทางอารมณ์และจังหวะ ตั้งแต่ความสงบนิ่งไปจนถึงความเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว
การนำโครงสร้างที่ละเอียดอ่อนและลึกซึ้งของ Goldberg Variations มารวมกับฟลาเมงโกที่เต็มไปด้วยอารมณ์ จึงช่วยสร้างความแตกต่างที่น่าสนใจ สะท้อนความไม่สงบภายในของจิตใจที่ไม่ยอมหลับใหล ซึ่งในบางครั้งก็เงียบงัน บางครั้งก็ว้าวุ่น และบางครั้งก็สั่นสะเทือนจนถึงแก่น
“สถาปัตยกรรมของความไม่หลับใหล” (Architecture of Insomnia) คือการประกอบสร้างประสบการณ์บทเวทีที่มีครบทุกองค์ประกอบ ทั้งแสงไฟสลัว เงาที่เคลื่อนไหว และพื้นที่เปลือยเปล่า ทุกจังหวะเท้าที่ตอกลงพื้น ทุกปลายนิ้วที่เหวี่ยงผ่านอากาศ ไม่ได้เพียงสื่อถึงความงาม แต่คือเสียงของความไม่สงบ ความเวิ้งว้าง และความรู้สึกที่ไม่เคยมีถ้อยคำไหนอธิบายได้
ฟลาเมงโกอาจขึ้นชื่อว่าเร่าร้อน แต่โชว์ “Nocturna” ของ Rafaela Carrasco แสดงให้เห็นว่า ในค่ำคืนอันเงียบงัน การเต้นอาจเป็นการต่อสู้เงียบๆ กับเสียงในหัวตัวเอง ร่างกายกลายเป็นสถาปัตยกรรมของความว้าวุ่น ปลายนิ้วทุกจังหวะคือบันทึกความทรงจำที่ไม่เคยจาง เสียงเท้ากระทบพื้นคือเสียงของใจที่ยังตื่นอยู่
และในที่สุด—เมื่อรุ่งเช้าทอแสง—แม้เรายังไม่อาจข่มตานอนได้…แต่ก็อาจทำให้เราได้เข้าใจเสียงในหัวใจตัวเองมากขึ้น
-รอบการแสดง-
วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน 2568 เวลา 19.00 น.
ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สามารถจองนี่ทั่งล่วงหน้าได้แล้ววันนี้ http://bit.ly/3GqqLvW
🇧🇬 NINA – จังหวะแห่งการต่อสู้เพื่อเสรีภาพจากภายใน

จากยุโรปตะวันออก ผู้คนมากมายเติบโตมาพร้อมเสียงของการต่อสู้ ทั้งในระดับสังคมและภายในใจของตนเอง
“NINA” จาก PRJCT360 Dance Company ใช้กระดานหมากรุกเป็นสัญลักษณ์ของโลกที่เราถูกกำหนดให้เดินตามกฎเกณฑ์
แต่ ‘นีน่า’ คือหญิงสาวที่ปฏิเสธชะตากรรมซึ่งถูกขีดเขียนให้ และเลือกจะ “เคลื่อนไหว” ด้วยตัวเอง
แม้ “NINA” เป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นใหม่ (original story) แต่เรื่องราวของหญิงสาวนักสู้ไม่ได้เป็นเพียงบทละครส่วนตัวของหญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้น หากแต่สะท้อนพลวัตของประเทศบัลแกเรีย—ดินแดนที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างโลกตะวันออกและตะวันตก ที่ต้องดิ้นรนต่อรองอัตลักษณ์ของตนท่ามกลางอิทธิพลภายนอกตลอดหลายศตวรรษ
บัลแกเรียเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออตโตมันมานานกว่า 500 ปี ก่อนจะปลดแอกตนเองในศตวรรษที่ 19 และเข้าสู่การเป็นรัฐชาติ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้หมายถึงอิสรภาพที่สมบูรณ์ทันที บัลแกเรียต้องเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความไม่มั่นคงและความพยายามในการสร้างชาติใหม่ แต่เส้นทางกลับยังไม่ราบรื่นนัก ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง บัลแกเรียตกอยู่ภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็น กลายเป็น “เบี้ย” ตัวหนึ่งในกระดานหมากรุกใหญ่ระหว่างมหาอำนาจโลก ชะตาชีวิตของผู้คนถูกกำหนดโดยนโยบายที่ตนไม่ได้เลือก เช่นเดียวกับ ‘นีน่า’ ผู้ถูกความรักและความฝันดึงรั้งไว้คนละทิศ
แต่ในที่สุด เมื่อกำแพงเบอร์ลินพังลงในปี 1989 บัลแกเรียก็เริ่มเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตย แม้เต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ก็เป็นก้าวสำคัญที่ประชาชนได้มีสิทธิมีเสียงในการกำหนดทิศทางของประเทศตนเองอีกครั้ง เปรียบเสมือนการเดินหมากที่พลิกกระดานจากเบี้ยตัวเล็กสู่พลังใหม่
ที่น่าสนใจไปมากกว่านั้น คือบัลแกเรียยังเป็นหนึ่งในประเทศที่ให้ความสำคัญกับหมากรุกอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในยุคสังคมนิยมที่หมากรุกไม่ได้เป็นเพียงเกมเพื่อความบันเทิง แต่ถูกยกระดับเป็นกีฬาสร้างชาติที่ได้รับการส่งเสริมในโรงเรียน และใช้เป็นสื่อในการฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการวางกลยุทธ์ ความหลงใหลในหมากรุกนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงการคิดอย่างมีกลยุทธ์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์เชิงลึกถึงการที่ประเทศชาติและประชาชนพยายามจะ “ควบคุม” ชะตาชีวิตของตนเองในกระดานโลกที่ใหญ่กว่า
“NINA” การแสดงต้นตำรับจากบัลแกเรีย ใช้การเล่าเรื่องผ่านภาษาของการเต้นที่ผสมผสานท่วงท่าและทำนองดนตรีอันเข้มข้น เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกและประสบการณ์ที่คนทุกคนสามารถเข้าถึงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคปัจจุบันที่ผู้คนจำนวนมากต้องเผชิญกับความท้าทายในชีวิตและเส้นทางอาชีพที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง สัญลักษณ์ของตัวเบี้ยบนกระดาน ถูกถ่ายทอดผ่านภาษาการเต้นหลากหลายสไตล์ พร้อมชวนผู้ชมติดตามการปรับตัวและการต่อสู้ของตัวละครเอก โอกาสพิเศษนี้จะเปิดมุมมองใหม่ต่อการเต้นร่วมสมัย ผ่านสายตาและหัวใจของศิลปินจากบัลแกเรียที่คุณอาจไม่เคยสัมผัสมาก่อน
“NINA” จาก PRJCT360 Dance Company นำเสนอภาพสะท้อนของสังคมที่กำลังเรียนรู้จะ “เดินหมาก” ของตนเองใหม่อีกครั้ง ไม่ว่าคุณจะเคยเป็นเบี้ยที่ถูกบังคับให้เดินในทางที่ไม่ต้องการ หรือเคยรู้สึกว่าชะตาชีวิตไม่อาจลิขิตได้ดั่งใจ การแสดงนี้จะปลุกแรงใจให้คุณลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้ง —ด้วยหัวใจที่เข้มแข็งเหมือนราชินีตัวสุดท้ายบนกระดานชีวิต
-รอบการแสดง-
วันเสาร์ที่ 27 กันยายน 2568 เวลา 19.00 น.
ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สามารถจองนี่ทั่งล่วงหน้าได้แล้ววันนี้ https://bit.ly/4eGqhhQ
🇫🇷 Pixel – จังหวะแห่งอนาคตและความเป็นไปได้ไร้ขอบเขต

ที่ฝรั่งเศส ความล้ำหน้าทางศิลปะไม่ได้หยุดแค่ในภาพวาดหรือบทกวีอีกต่อไป
โชว์ “Pixel” ของ Compagnie Käfig ผสมผสานร่างกายมนุษย์กับเทคโนโลยี projection mapping บนเวทีที่ไม่มีอะไรมากกว่าพื้นเรียบๆ แต่กลับเคลื่อนไหวได้เหมือนฝัน
นี่คือจังหวะแห่งโลกใหม่ ที่เรายังไม่รู้จักทั้งหมด แต่กำลังเข้าไปสำรวจมันด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง
ฝรั่งเศสคือหัวใจของการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ยุโรปทั้งในทางการเมือง ปรัชญา และศิลปะ การปฏิวัติฝรั่งเศสในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถือเป็นจุดกำเนิดสำคัญที่ประเทศนี้ไม่เพียงแต่เป็นศูนย์กลางของวาทกรรมทางปัญญาเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีบ่มเพาะอุดมการณ์เสรีนิยม แนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชน และความเท่าเทียมทางสังคม ซึ่งส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19–20 ปารีสกลับกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางสำคัญของขบวนการศิลปะร่วมสมัย โดยเฉพาะกลุ่มศิลปินและนักคิดที่พยายามขยายขอบเขตของการสร้างสรรค์ให้ก้าวล้ำออกไปจากขนบเดิมๆ ขบวนการศิลปะอย่าง Impressionism (ศิลปะที่เน้นถ่ายทอดความประทับใจแรกที่ตาเห็น) , Cubism (แนวทางศิลปะที่เชื่อว่าวัตถุหนึ่งชิ้นสามารถถูกมองได้หลายมุมในเวลาเดียวกัน), Surrealism (แนวคิดเหนือจริง แสดงภาพจากจิตใต้สำนึก ความฝัน หรือสิ่งที่เหนือความเป็นเหตุเป็นผล) ไปจนถึงแนวคิดอาวอง-การ์ด (Avant-garde) ต่างเติบโตในบรรยากาศของปารีสที่เปิดกว้างให้การทดลองและการตั้งคำถามต่อรูปแบบเดิมๆ สะท้อนบทบาทของฝรั่งเศสในฐานะ “ห้องทดลองทางวัฒนธรรม” ที่ผลักดันให้ศิลปะไม่เพียงงดงาม แต่ยังล้ำสมัย กล้าท้าทาย และมักนำหน้าความเปลี่ยนแปลงทางความคิดอยู่เสมอ
โชว์ “Pixel” ของ Compagnie Käfig คืองานศิลปะร่วมสมัยที่สืบทอดจิตวิญญาณของการทดลองนั้น เป็นผลงานที่ไม่เพียงตั้งคำถามต่อขอบเขตของเวทีการแสดง แต่ยังท้าทายความเข้าใจของเราเกี่ยวกับ “ร่างกาย” และ “โลกจริง” เมื่อเทคโนโลยีและศิลปะการเคลื่อนไหวมาหลอมรวมกัน
Pixel ผสมผสานร่างกายมนุษย์เข้ากับเทคนิค Projection Mapping ราวกับนักเต้นกำลังเต้นกับแสง ลม และแรงโน้มถ่วง เส้นสายกราฟิก พายุ คลื่น หรือแม้แต่สภาพแวดล้อมที่บิดเบี้ยว ถูกสร้างขึ้นและตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของนักเต้นแบบ interactive ในแบบเรียลไทม์ โดยฝีมือของทีม Adrien M / Claire B ผู้บุกเบิกการสร้างภาพเคลื่อนไหวในพื้นที่แสดงสดอย่างลึกซึ้ง
นักเต้นของ Pixel ไม่ได้อยู่ในโลกความจริงหรือโลกเสมือนเพียงด้านใดด้านหนึ่ง แต่ใช้ร่างกายเป็นสะพานเชื่อมทั้งสองเข้าด้วยกัน ด้วยภาษาทางกายจากสตรีทแดนซ์ ฮิปฮอป บีบอย และการเคลื่อนไหวร่วมสมัยที่แม่นยำระดับสูง เพื่อให้ภาพ เสียง และร่างกาย “เต้น” ไปพร้อมกันได้อย่างไร้รอยต่อ
Pixel จึงไม่ใช่แค่โชว์ แต่คือบทสำรวจ “โลกใหม่” ที่ศิลปะและเทคโนโลยีไม่ได้แยกขาดจากกัน มาร่วมเป็นพยานในปรากฏการณ์อันน่าทึ่งนี้ ที่อนาคตกำลังเคลื่อนไหวตรงหน้าคุณ
-รอบการแสดง-
วันอังคารที่ 30 กันยายน 2568 เวลา 19.00 น.
ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สามารถจองนี่ทั่งล่วงหน้าได้แล้ววันนี้ https://bit.ly/4lFFkdJ